ห้องนอน
การนอนหลับคือ การพักผ่อนที่ดีที่สุด การนอนหลับเพียง 5-6 ชั่วโมง ในห้องที่เงียบสงบ มืดสนิท อุณหภูมิพอเหมาะ และอากาศ ถ่ายเทดี ก็นับว่า เพียงพอแล้ว สำหรับคนเราในวันหนึ่ง ๆ ห้องนอน จึงเป็นห้อง ที่ต้องการ ความสงบมากกว่าส่วนใด ในบ้าน ให้ความเป็นส่วนตัว ความสะดวกสบาย แก่เจ้าของ อีกทั้งแสดง รสนิยม และ บุคลิก ของเจ้าของห้อง ได้มากกว่า ห้องอื่น นอกจากจะใช้เป็น ห้องพักผ่อนนอนหลับแล้ว ยังอาจใช้เป็น ห้องแต่งตัว และ ห้องทำงานส่วนตัว ได้อีกด้วย การนอน ถือเป็น กิจกรรม หรือ กิจวัตรประจำวัน ที่จำเป็น ต้องมีต้องปฏิบัติ เพื่อการเริ่มต้นชีวิต ในวันใหม่ ที่สดชื่น สุดๆ พร้อมกับ ภารกิจ การทำงาน ทุกสภาวะ และโอกาสใน การทำงาน แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งของการ "นอน" ก็คือ "สุขภาพ"ที่ดีของ ร่างกาย เมื่อมี การทำงานไม่ว่า จะด้วย การใช้แรงกาย หรือแรงสมอง สติปัญญา และหรือ แม้แรงใจ แรงกระตุ้น จาก พลังจิต ภายใน ที่ทำให้คนเรา มีความสุขใน การทำงาน ปฏิบัติงาน ในหน้าที่ของ แต่ละท่าน ให้ได้ผลสมบูรณ์เต็มร้อย ควรอย่างยิ่งต้องมีการ "นอน" เป็นกิจกรรมที่สำคัญของวัน ที่เราๆ ทุกท่านต้อง พักผ่อนด้วย การ"นอน"ห้องนอน ถือว่าเป็น สถานที่ส่วนตัว การออกแบบตกแต่ง จึงสามารถ ทำให้มีลักษณะ เฉพาะตัว ที่เด่นชัดออก มาได้เต็มที่ และตามสไตล์ ที่ผู้อยู่ต้องการ ได้ด้วย เนื่องจากพื้นที่ใน ห้องนอน นั้น เป็นพื้นที่ส่วนตัว ที่พ้นจากสายตาคนอื่นๆ และยังเป็น ห้องที่เหมาะที่สุด ในการ สร้างสรรค์ ตามความประสงค์ ของผู้อยู่อย่างมาก บางคนอาจจะชอบ ห้องนอน ที่เต็มไปด้วย บรรยากาศ แบบไทยๆ ที่สามารถจะใช้โต๊ะ ตั่ง คันฉ่องหรือ กระจก มาตกแต่ง การวางที่นอน บนพื้นก็เป็น การเพิ่มบรรยากาศ ให้ห้องน่าอยู่มิใช่น้อย หรือบางคนอยากจะแต่ง ให้โมเดิร์นสุดๆ ก็ย่อมที่จะทำได้ เพราะห้องนอนเปรียบเสมือนโลกส่วนตัว ของแต่ละบุคคลที่สามารถ จะสร้างสรรค์ สิ่งที่ต้องการ ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงถึง รสนิยมและประโยชน์การใช้สอยร่วมกับผู้อื่น เหมือนกับการตกแต่งในห้องอื่นๆ
การออกแบบห้องนอน
ห้องนอน ที่ดีควรอยู่ทางทิศตะวันออก และทางทิศ ใต้ เพื่อหลีกเลี่ยง การรับ แสงแดด ในตอนบ่ายของทิศตะวัน ตก และสามารถรับ ลมธรรมชาติได้ การจัดพื้นที่ใช้สอยแบ่ง ออกได้ 2 ส่วน คือส่วนแรก เพื่อการใช้งานส่วนตัว เช่น ผลัดเปลี่ยน เสื้อผ้า แต่งตัวทำงาน ส่วนเหล่านี้ ควรอยู่ใกล้กับทางเข้า หรือ ใกล้กับห้องน้ำ
ส่วนที่สอง สำหรับนอนหลับพักผ่อน ซึ่งการจัดวาง เตียงนอน ไม่ควรให้ หัวเตียง หรือปลายเตียงอยู่ใกล้หน่าต่าง มากเกินไป เพราะ ลมที่พัดโดน ศีรษะผู้นอนอาจรู้สึกไม่สบาย หรือถ้าติดแอร์ก็ไม่ควรวางปลายเตียง หันหน้าไปทาง เครื่องปรับอากาศ เพราะลมจะพัด เข้าจมูกเวลานอน อาจจะเป็นหวัดได้ ที่สำคัญควร คำนึงถึง ขนาด ของ เฟอร์นิเจอร์ ให้สัมพันธ์กับขนาด ของห้องด้วย ตามสัดส่วน ที่เหมาะสมด้วย
การจัดแสงมีบทบาทอย่างมาก ในการตกแต่งห้อง ไม่ว่าจะเป็น ห้องแบบไหนก็ตาม ก่อนจะตัดสินใจ ว่าจะใช้แสงอย่างไร เราต้องคำนึงถึง บรรยากาศ ที่ต้องการนั้นก่อน ว่าต้องการบรรยากาศ ที่ต้องการนั้นก่อนว่า ต้องการบรรยากาศในห้องนอน แบบไหน ถ้าต้องการห้องนอน ที่เต็มไปด้วย บรรยากาศยามเช้า ที่กระปรี้กระเปร่า ก็ต้องเปิดหน้าต่าง ด้านที่แดดยามเช้า สามารถสาดส่อง เข้ามาได้ แล้วปิดไว้ด้วยม่าน 2 ชั้นที่เป็นทั้ง ม่านทึบ และโปร่งแสง สามารถเปิดออกได้เพื่อปล่อยให้แสงยามเช้า สาดเข้ามาได้ แต่วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ตกแต่งภายใน ควรมีสีและ พื้นผิว ที่ทนทานต่อแสงแดด แต่ถ้าต้องการ บรรยากาศที่โรแมนติก เหมือนอยู่ในยาม ค่ำคืนตลอดเวลา ก็ต้องปิดกั้น ให้ แสงธรรมชาติ เข้ามาในห้องได้น้อยที่สุด
ตำแหน่ง (Location) : ห้องนอนเป็นห้องที่ต้องการความเงียบสงบ จึงควรอยู่ห่างจาก เสียงรบกวนไดๆ มีอากาศถ่ายเทดี ตั้งอยู่ในทิศทางลมจึงควร มีผนังที่สามารถเปิดรับและระรบายลมได้สองด้านควรได้รับแสงแดดตอนเช้าซึ่ง ทำให้กลางคืนไม่ร้อน ในกรณีที่ห้องนอนไม่รวมกับห้องแต่งตัวก็ควรอยู่ติดห้อง แต่งตัว และห้องน้ำ
ขนาด (Size) : การกำหนดขนาดห้องนอนขึ้นกับกิจกรรมของผู้ใช้ห้อง นั้นๆ บางคนใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องนอนอ่านหนังสือ แต่งตัว ดูทีวี ห้องนอน ต้องใหญ่และเป็นแบบกึ่งนั่งเล่น แต่บางคนทำงานดึกใช้เพื่อ การนอนอย่างเดียว ห้องนอนพอวางเตียง ตู้เสื้อผ้า และบริเวณแต่งตัวก็พอ หากแยกห้องแต่งตัวไว้ ต่างหาก ห้องนอนก็จะเล็กลงได้อีก ขนาดของห้องนอนโดยทั่วไปมีตั้งแต่ 3.0x3.0 เมตรถึง4.5x5.5 เมตร หรืออาจกว้างกว่านี้เป้นกรณีพิเศษใน บ้านหนึ่งหลังอาจแบ่งห้องนอนออกเป็น ห้องนอนใหญ่ (Master Bedroom) ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นห้องนอนของเจ้า ของบ้าน มีขนาดใหญ่กว่าห้องนอนอื่น ๆ ของบ้าน มีห้องน้ำในตัว ห้องทำงาน ส่วนตัว อาจมีส่วนที่ใช้สำหรับ การแต่งตัวแยกออกไปเรียกว่า walk-incloset ห้องนอนอื่น ๆ (Guest Bedroom) เป็นห้องที่มีขนาดเล็กกว่า ห้องนอนใหญ่ เช่นห้องนอนเด็กใช้สำหรับให้สมาชิกเล็ก ๆ ของครอบครัว ห้องนอนวัยรุ่นหรือ ห้องนอนที่ใช้รับรองแขก
การตกแต่งห้องนอน
บางคนชอบที่จะ ตกแต่งห้องนอน โดยการเน้น ที่จุดเด่นของห้อง ให้อยู่ที่ เตียง ดังนั้นจึงมี การเลือกแบบ แล ะตำแหน่งของเตียง เป็นพิเศษ เตียงมีด้วยกัน หลายลักษณะ เช่น เตียงที่มีสี่เสา เตียงเหล็กหล่อ แบบเก่า เตียงแบบโบราณ เตียงทองเหลือง เตียงไม้ และ เตียงไม้แกะสลัก เป็นต้น การเพิ่มสีสันให้กับเตียง ด้วยการตกแต่ง โดยใช้ผ้า โทนสีนุ่มนวลละมุนตา มาทำเป็น หมอนอิง ผ้าคลุมเตียง และม่าน ซึ่งผ้าที่ใช้นั้น อาจจะมีลวดลาย ที่เหมือนกัน หรือจะเป็นลวดลาย ที่เข้ากันได้ สำหรับ ผู้ที่ชอบ ความสง่างาม ภูมิฐาน ควรที่จะเลือกใช้ เตียงสี่เสา และตกแต่ง ด้วย ผ้าลายคลาสสิก จับจีบติดไว้บน หลังคาเตียง แล้วรวมปล่อยชาย ไว้ที่ เสาทั้งสี่ ห้วยเชือกถักเส้นใหญ่ ซึ่งควรให้มีลักษณะ ที่ไปกันได้ ม่านหน้าต่าง โดยจับจีบ ติดครุยและพู่ จะเป็นการช่วยให้ห้องดูงดงามมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น อุปกรณ์อย่างอื่นยังสามารถช่วย ให้การจัดห้องนอน ดูสมบูรณ์ขึ้นได้ คือ พรมปูหน้าเตียง ภาพตั้งบนโต๊ะข้างเคียง โคมไฟซึ่งมีทั้งแบบตั้ง และ แบบแขวน ที่สามารถปรับแสงได้ เป็นต้น แต่ถ้าใครไม่ต้องการ ตกแต่ง โดยให้เตียงนอน สะดุดตา ก็สามารถทำได้ หลายวิธีด้วยกัน เช่น การกั้นบริเวณ ที่วางเตียง โดยใช้เฟอร์นิเจอร์ หรือ ผนังเตี้ยๆ หรือจะเลือกใช้เตียงแบบเรียบๆ ที่มีขนาดเล็ก และสามารถพับเก็บได้เฟอร์นิเจอร์ (Furniture)
- เตียงนอนคู่ ขนาดใหญ่ (King Size) ขนาดประมาณ 1.8-2.0x2.0 เมตร ขนาดกลาง(Queen Size) ขนาดประมาณ 1.5-1.8x2.0 เมตร
- เตียงนอนเดี่ยว ขนาดประมาณ 0.9-1.1x2.0 เมตร
- เตียงสองชั้น สำหรับห้องนอนเด็กที่โตพอสมควรเว้นระยะความสูงของระดับ ที่นอนชั้นล่างถึงชั้นบนประมาณ 1.2 เมตร
- โต๊ะข้างเตียง ขนาด 0.3-0.4x0.45 เมตร
- ตู้เสื้อผ้า ขนาดยาว1.2-1.5 เมตรต่อการเก็บเสื้อผ้าของคนหนึ่งคน
- โต๊ะเครื่องแป้งชาย/หญิง ขนาดลึก 0.6/1.0 เมตรสูง1.0/0.75 เมตร ยาว ประมาณ0.45-0.6 เมตร
การจัดแต่ง (Decor)
ตู้เสื้อผ้าควรอยู่ใกล้ประตูเข้าออก ใกล้ห้องน้ำและชิดผนังด้านตะวันตก ช่วยป้องกันความร้อนจาก แสงอาทิตย์ยามบ่ายได้ส่วนหนึ่ง เตียงนอนไม่ควรอยู่ในตำแหน่ง ที่นอนมองประตูห้องน้ำ หรืออยู่หน้าห้องน้ำ ซึ่งเป็นที่ใช้แต่งตัว และไม่ควรหัน ปลายเท้าไป ทางประตูทางเข้า อีกทั้งไม่ควรหันหัวเตียงไปไว้ใต้หน้าต่าง เนื่องจากแสงจะส่องเข้าตา เมื่ออยากนอนตื่นสาย และลมโกรกศีรษะ ทำให้ไม่สบายได้ การเลือกขนาดเตียงที่เหมาะสมกับ ขนาดห้อง ถ้าห้องขนาดเล็ก 2.5-3.0x3.0 เมตร ควรใช้เตียงขนาด 3.5 ฟุต ถ้าห้องขนาด4.0x4.0-4.5 เมตร ควรใช้เตียง 5ฟุต และถ้าเป็นห้องขนาด 5x4.5-5.0 เมตร ก็สามารถใช้เตียง 6 ฟุต ได้อย่าง สบายโทนสีที่ใช้ตกแต่งห้อง สามารถตกแต่งได้ตามใจชอบของเจ้าของบ้านการ ตกแต่งอาจ เน้นในส่วนที่เป็นหัวเตียงซึ่งนับว่า เป็นจุดเด่นของห้อง มีส่วนตู้โทรทัศน์ และอาจเพิ่มส่วนพื้นที่ทำงาน ในกรณีที่พื้นที่พอเพียงอาจมีโทนสีห้องนอน อื่นๆ อาจแตกต่างกัน โดยสิ้นเชิงเนื่องจาก ความต่างวัย และเพศของผู้อยู่อาศัย ห้อง นอนเล็กส่วนใหญ่มักไม่มีพื้นที่แต่งตัว แต่จะใช้ตู้เสื้อผ้า design เข้าชุดกันกับ furniture อื่น ๆ
องค์ประกอบของห้องนอน
พื้นห้อง
วัสดุที่ใช้ปูพื้นห้องมีหลายชนิดให้เลือก แต่ก่อนที่จะ ตัดสินใจเลือกนั้น ควรคำนึงถึง สภาพการให้สอยด้วย ถ้าต้องการพื้นที่นุ่มสบาย ก็ควรเลือก ปูพื้นด้วยพื้นไม้ และ บางส่วนที่สัมผัสบ่อย เช่น บริเวณหน้าเตียง ควรปูด้วยพรมชิ้น สำหรับ ห้องนอน ที่ตกแต่ง อย่างกันสมัย สามารถเลือก ปูพื้น ด้วยวัสดุอื่นๆ อาทิ กระเบื้องยาง พรมวิทยาศาสตร์ หรือกระเบื้อง เซรามิกก็ได้ แล้วแต่ความต้องการ และความเหมาะสมเพดาน
ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่เรามองเห็นทุกครั้งที่เราล้มตัวลงนอน จึงไม่ควรตกแต่ง เพดาน ให้มีลวดลาย ที่วิจิตรพิสดาร มากเกินไป เพราะจะทำให้เมื่อใน เวลาอัน รวดเร็ว แต่ถ้าบนเพดานมีคิ้ว หรือลวดลาย ดอกไม้อยู่แล้ว ก็ให้กลบเกลื่อนด้วย การทาสีอ่อนกว่าปกติ
หน้าต่าง - ผ้าม่านในห้องนอน
ม่านเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อความเป็นส่วนตัวภายใน ห้องนอน การติดม่านหน้าต่าง นั้น ต้องใช้งบประมาณมากพอสมควร เมื่อเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการตกแต่ง ดังนั้น การเลือกลายผ้าและแบบม่าน จึงควรเลือก อย่างระมัดระวัง เพื่อไห้สามารถใช้ได้นานที่สุดและคุ้มค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายไป ตามหลักที่ถูกต้อง ควรจะมีม่าน 2 ชั้น โดยให้ ม่านชั้นใน เป็นม่านโปร่ง เอาไว้บังแสงแดด เวลาเช้า จะช่วยกรองความร้อนบางส่วน และยังมีแสงสว่าง เข้ามาในตัวห้องได้ ทำให้ไม่ต้องเปิดไฟ ส่วนม่านชั้นนอก ควรจะเป็นม่านทึบ เพื่อไม่ให้คน ภายนอกมอง เข้ามา ภายในห้องได้ การติดบังตาก็เป็น อีกวิธีหนึ่งที่ดี แต่ก็มีข้อเสีย ตรงที่ไม่สามารถป้องกัน เรื่องความร้อนได้ เราอาจปรับวิธีการมาเป็นมู่ลี่ ซึ่งนอกจากจะเป็นการ เพิ่มความสวยงาม ให้กับการตกแต่งแล้ว มู่ลี่ยังสามารถปรับ แสงสว่าง ที่สาดส่องเข้ามาในห้อง ให้นุ่มนวล หรือเจิดจ้าได้ ตามความพอใจ ป้องกันความร้อน และเสียงรบกวน จากภายนอกได้
ในกรณีที่ ต้องการประหยัด ก็สามารถใช้เฉพาะม่าน ทึบก็ได้ แต่การใช้ม่าน ภายใน ห้องนอน ควรจะใช้สีอ่อน เพื่อ ให้ดูโปร่ง และไม่อึดอัด จนเกินไป
ที่เก็บของ
บ้านที่มีเนื้อที่น้อย โดยเฉพาะที่ว่าง สำหรับ เก็บของ ในห้องนอนนั้น ถือว่ามีความสำคัญ สิ่งที่ควรจะคำนึงถึง ก็คือ การจัดเก็บของ ให้เป็น ระเบียบเรียบร้อย ไม่รกรุงรัง และควรหมั่นสำรวจข้าวของ ที่เก็บไว้บ้างว่า ยังมีอะไรบ้าง ที่พอจะนำมาใช้ได้หรือ เก็บทิ้งไปได้ เพื่อเป็นการ เตรียมที่ว่าง สำหรับสิ่งของชิ้นใหม่ ที่จะซื้อหาเข้ามา เพิ่มความงาม และประโยชน์ ให้กับห้องนอนวิธีเก็บของที่ง่ายที่สุด คือ การทำชั้นวางของ ห้องนอน ที่มีลักษณะแคบ และยาว ควรสร้างชั้นวางของ ไว้ที่ปลาย ด้านหนึ่ง ของห้องด้านล่าง จัดเป็นโต๊ะทำงาน มีลิ้นชัก สิ่งของที่วางบนชั้น ควรจะเป็นส่วนหนึ่ง ของการจัด ตกแต่งห้องด้วย
นอกจากการทำชั้นวางของแล้ว เตียงนอนก็เป็นจุดหนึ่ง ที่เราควรจะ นำมา พิจารณา เนื่องจากใต้เตียง อาจจะมีเนื้อที่ ใช้เก็บของได้ โดยทำลิ้นชัก ติดเข้าไป ใต้เตียง และควรเจาะร ูระบายอากาศ เอาไว้ด้วย หรืออาจจะทำได้ อย่างง่ายๆ โดยการวางกล่องที่ติดล้อ ให้เลื่อนได้ง่าย สำหรับเสียง 2 ชั้นที่ใช้ในวัยเด็กนั้น ควรเลือกซื้อ แบบที่มีระบบ ไม่ติดถาวรตายตัว เพราะจะได้ดัดแปลง เป็นเตียงเดี่ยวได้ และใช้พื้นที่ ใต้เตียง เป็นที่เก็บของ ได้ในตัว
ห้องนอนที่มีขนาดเล็กมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับเนื้อที่เสมอ เพราะบางครั้งภายใน ห้องมีพื้นที่ไม่เพียงพอ สำหรับการเปิดประตูเข้าไป จึงควรเปลี่ยน จากประตู มาเป็นการใช้มู่ลี่ม้วนเก็บขึ้นด้านบนได้มากั้นแทน หรือจะใช้ประตู ที่เปิดออกด้านนอก ห้องแทนก็ได้
เตียง
การที่จะเลือกซื้อเตียง สักครั้งเป็นเรื่องที่ต้องลงทุนสูงมาก จึงจำเป็น ที่จะต้องให้ได้ในสิ่งที่ดีที่สุด หลักการที่ใช้ ในการเลือกซื้อเตียง - ประการแรกคือ ควรจะเลือก ซื้อเตียง ที่แพงที่สุด เท่าที่จะมีกำลังจ่ายได้ เพื่อประกัน การเสียใจภายหลัง เพราะเตียงหลังหนึ่ง เราต้องใช้ สำหรับการนอน เป็นเวลานาน เมื่อคิดคำนวณ ออกมาแล้ว จะทำให้ไม่รู้สึกเสียดายเลย ที่ได้ซื้อเตียง ที่แสนสบายมาใช้ ความสบายนั้นขึ้นอยู่กับ ประสิทธิภาพ ของที่นอน ในการรักษาให้กระดูกสันหลัง ในตำแหน่ง ปกติ
- ประการที่สอง ก่อนซื้อถ้าเป็นไปได้ให้ลองนอนบนเตียงอย่างน้อยเตียงละ 10 นาที ซึ่งจะรู้สึกถึงความแตกต่าง ระหว่างเตียงแต่ละหลัง แต่ถ้าต้องการซื้อ เตียงคู่ ควรจะไปเลือกซื้อด้วยกันทั้งคู่
- ประการสุดท้าย คือความยาวของเตียงควรยาวกว่า ความสูงของเจ้าของประมาณ 15 ซ.ม. หรือ 6 นิ้ว และก่อนซื้อควรตรวจดู จุดกลางเตียงเสียก่อน ว่ามี ความแข็งแรง พอและไม่เอนแอ่นลง
ผ้านวม
นอกจากใช้ห่มเพื่อให้ความอบอุ่นแล้ว ยังใช้เป็น ผ้าคลุมเตียง เพื่อความสวยงาม และยังเป็นการ ประหยัดอีกด้วย สำหรับวัสดุที่ใส่ ไว้ข้างใน ผ้านวม มีด้วยกัน 2 ชนิด คือ วัสดุธรรมชาติ ได้แก่ พวกฝ้าย หรือนุ่น และวัสดุประเภทเส้นใยสังเคราะห์ ผ้านวม ที่ทำจาก วัสดุธรรมชาติ จะมีราคาถูกกว่า วัสดุประเภท เส้นใยสังเคราะห์ แต่เส้นใยสังเคราะห์ จะเหมาะ สำหรับผู้ที่เป็นโรคหอบหืด หรือผู้ที่แพ้ เกสรดอกไม้ และยังซักง่ายอีกด้วย ก่อนการตัดสินใจซื้อ ควรสำรวจว่า วัสดุที่อยู่ในผ้านวม เป็นชนิดเดียว กับที่ต้องการ หรือเปล่า โดยให้ดูได้ จากป้ายสินค้า ขนาดมาตรฐาน ที่มีขาย อยู่ในเมืองไทย มี 2 ขนาด คือ 90 x 108 นิ้ว และ 72 x 90 นิ้วผ้าปูที่นอนและหมอน
ปัจจุบัน ผ้าปูที่นอน ทำจาก เส้นใยที่เป็นส่วนผสม ของโพลีเอสเตอร์ กับผ้าฝ้าย ซึ่งสามารถตาก ให้แห้งได้ง่าย สำหรับผ้าฝ้ายบริสุทธิ์ จำเป็นจะต้องรีดให้เรียบ ก่อนนำไปใช้ ผ้าปูที่นอนสีเรียบๆ เราสามารถจะตกแต่งเพิ่ม ด้วยการปูผ้าสีเรียบ ไว้ด้านล่าง แล้วเลือกผ้า ที่มีสีตัดกัน มาปูที่นอนที่มีสีสัน และสวยงาม เพิ่มเสน่ห์ให้กับห้องนอนผ้าคลุมเตียง
หาซื้อได้ตามท้องตลาด โดยเลือกให้สีและลาย เข้าได้กับ สไตล์ การตกแต่งห้อง หรืออาจจะออกแบบเอง ก็ได้ ประโยชน์อื่นจาก การใช้ ห้องนอน เราสามารถดัดแปลงให้ ห้องนอน เป็น ห้องนั่งเล่น หรือต้อนรับเพื่อนฝูง ที่สนิทสนมได้ด้วย การตกแต่ง เปลี่ยนแปลง และ เพิ่มเติมบางสิ่ง บางอย่าง ให้กับห้อง ถ้าเป็นห้องที่มีเนื้อที่จำกัด จนไม่สามารถแยก ส่วนนั่งเล่นออกได้ เราอาจจะใช้เตียงเป็นที่นั่งเล่น เพียงแต่เราใช้ ผ้าคลุมเตียง ที่รัดกุม คลุมเตียง ให้เรียบร้อย แล้วหา หมอนอิง ที่มีสีสันหลากหลาย มาประดับ เท่านี้เราก็จะได้ ที่นั่งเล่น ที่แสนสบายเฟอร์นิเจอร์ (Furniture)
- เตียงนอนคู่ ขนาดใหญ่ (King Size) ขนาดประมาณ 1.8-2.0x2.0 เมตร ขนาดกลาง(QUEEN SIZE)ขนาดประมาณ 1.5-1.8x2.0 เมตร
- เตียงนอนเดี่ยว ขนาดประมาณ 0.9-1.1x2.0 เมตร
- เตียงสองชั้น สำหรับห้องนอนเด็กที่โตพอสมควรเว้นระยะความสูงของระดับ ที่นอนชั้นล่างถึงชั้นบนประมาณ 1.2 เมตร
- โต๊ะข้างเตียง ขนาด 0.3-0.4x0.45 เมตร
- ตู้เสื้อผ้า ขนาดยาว1.2-1.5 เมตรต่อการเก็บเสื้อผ้าของคนหนึ่งคน
- โต๊ะเครื่องแป้งชาย/หญิง ขนาดลึก 0.6/1.0 เมตรสูง1.0/0.75 เมตร ยาว ประมาณ0.45-0.6 เมตร
การจัดแต่ง (Decor)
ตู้เสื้อผ้าควรอยู่ใกล้ประตูเข้าออก ใกล้ห้องน้ำและชิดผนัง ด้านตะวันตก ช่วยป้องกันความร้อนจาก แสงอาทิตย์ ยามบ่าย ได้ส่วนหนึ่ง เตียงนอน ไม่ควรอยู่ใน ตำแหน่งที่นอนมอง ประตูห้องน้ำ หรืออยู่หน้า ห้องน้ำ ซึ่งเป็น ที่ใช้แต่งตัว และไม่ควรหันปลายเท้าไป ทางประตูทางเข้า อีกทั้งไม่ควรหันหัวเตียงไปไว้ใต้หน้าต่าง เนื่องจาก แสง จะส่องเข้าตา เมื่ออยากนอนตื่นสาย และ ลมโกรกศีรษะ ทำให้ไม่สบายได้
การเลือกขนาดเตียงที่เหมาะสมกับขนาดห้อง ถ้าห้องขนาดเล็ก 2.5-3.0x3.0 เมตร ควรใช้เตียงขนาด 3.5 ฟุต ถ้าห้องขนาด4.0x4.0-4.5 เมตร ควรใช้เตียง 5ฟุต และถ้าเป็นห้องขนาด 5x4.5-5.0 เมตร ก็สามารถใช้เตียง 6 ฟุต ได้อย่างสบาย
โทนสี ที่ใช้ ตกแต่งห้อง สามารถ ตกแต่ง ได้ตามใจชอบ ของเจ้าของบ้านการตกแต่ง อาจเน้นในส่วนที่เป็น หัวเตียง ซึ่งนับว่าเป็น จุดเด่นของห้อง มีส่วน ตู้โทรทัศน์ และ อาจเพิ่มส่วนพื้นที่ทำงานในกรณีที่พื้นที่ พอเพียง อาจมี โทนสีห้องนอน อื่นๆ อาจแตกต่างกัน โดยสิ้นเชิงเนื่องจากความต่างวัยและเพศของผู้อยู่อาศัย ห้องนอนเล็ก ส่วนใหญ่มัก ไม่มีพื้นที่แต่งตัว แต่จะใช้ตู้เสื้อผ้า design เข้าชุดกันกับ furniture อื่น ๆ
Read more: http://www.novabizz.com/CDC/BedRoom.htm#ixzz1l0Ba9cJC
ห้องรับแขก/ห้องนั่งเล่น
ห้องรับแขก/นั่งเล่นเป็นห้องที่ใช้งานมากที่สุด ของครอบครัวผู้คนบางกลุ่มชอบที่จะ รับประทาน อาหาร พบประสังสรรค์ และดื่มฉลอง กันที่บ้าน มากกว่าที่จะ ออกไปตามคลับ หรือภัตตาคาร โทรทัศน์สี วีดีโอ และเครื่องเสียงดีๆ ได้เข้ามาแทนที่ภาพยนตร์ตามโรง แม้แต่เกมคอมพิวเตอร์ ปัจจุบัน ก็สามารถ ซื้อหา เข้ามา เล่นสนุกสนานกันได้ภายในบ้าน ฉะนั้นการจัด ห้องนั่งเล่นที่กว้างขวาง พอและมีอุปกรณ์ ในการสันทนาการ ต่างๆ จึงเหมาะเป็นที่พบปะสังสรรค์ และพักผ่อนในยามว่างได้ การตกแต่งห้องนั่งเล่น ได้รับความเอาใจใส่มากขึ้น ได้มีการเพิ่ม ความแปลกใหม่ ที่ยังคงให้ ความรู้สึก สบาย อย่างง่ายๆ ซึ่งมีผลมาจากปัจจัย 3 ประการคือเฟอร์นิเจอร์แปลกๆ ใหม่ๆ ที่บริษัทผู้ผลิตได้ออกแบบแตกต่างหลายหลาก และมีหลายระดับราคา ให้เลือกซื้อได้ตามความ ต้องการและกำลังทรัพย์
การใช้สีสดใสมาตัด เช่น สีชมพู เขียว หรือ เหลือง บนสีที่นิยมใช้กันอันได้แก่สีครีมอ่อน สีครีมเข้ม สีเบท และสีปนสีขาว นั้นให้ชีวิตชีวา ที่สนุกสนาน มากยิ่งขึ้น
ปัจจัยสุดท้ายได้แก่การนำวัสดุต่างๆ มากใช้ อย่างมากมาย เป็นวัสดุที่ผลิตออกมา ในขบวนการ อุตสาหกรรม สถาปนิก และ มัณฑนากร ได้นำสิ่ง ที่มีอยู่ อย่างหลายหลากนี้ มาออกแบบ ดัดแปลง ตกแต่ง ให้ได้สิ่งที่แปลกใหม่น่าตื่นตา อาทิ นำเอา ลามิเนท พลาสติกลายสีสดใส มาปูลง บนเฟอร์นิเจอร์ ลักษณะแปลกๆ นำเอาไม้มาทาสี ร้อนแรง และเคลือบเงา การฉาบปูนบนผนัง ให้เป็นเส้นๆ เพื่อเลียนแบบ เสาลายคิ้วบัว และลวดลายต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เป็นการแสดง ถึงวิธีการ และแบบการตกแต่ง อันหลายหลาก ซึ่งนำมาใช้ได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีวิธีใด เป็นสิ่งที่ดีที่สุด การตกแต่ง เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะดีได้ เท่ากับการตกแต่ง ที่ต้องใช้จ่ายของ อย่างฟุ่มเฟือย หรืออาจจะนำวิธี การตกแต่ง หลายรูปแบบ มาผสานกันได้ ถ้าสามารถ ทำให้สอดคล้อง และในขอบเขตที่สมควร
การวางแผนผังห้องนั่งเล่น
ห้องรับแขกจะเป็นห้องแรกที่เข้ามาถึง ควรมีขนาด 12 ตารางเมตรขึ้นไป แล้วแต่ขนาดของบ้าน เมื่อจะลงมือตกแต่งห้องใดก็ตาม อย่าได้พยายาม ซื้อหา ข้าวของในการตกแต่ง ก่อนที่จะมี การวางแบบแปลน ให้เรียบร้อย ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ถูกต้อง และง่ายที่สุด ถ้าเราจะย้ายเข้ามาอยู่ ในบ้านที่ต้อง อยู่อาศัย เป็นเวลานาน ดังนั้นจึงควรวางแบบแปลน เพื่อให้ใช้ได้ ในระยะเวลานาน สิ่งที่ต้องพิจารณา อันดับแรก คือโครงสร้างของห้อง ว่าต้องมีการ ขยับขยาย หรือไม่ ถ้าต้อง มีการขยับขยายก็ต้องลงมือทำสิ่งนี้ก่อน แต่ถ้าไม่ต้องก็ดำเนินขั้นต่อไป คือ การสร้างตู้ และชั้นวางของ และติดตั้งระบบไฟฟ้า และระบบระบายอากาศ หรือปรับอากาศ ตามแบบแปลน ที่วางไว้ ก่อนที่จะเริ่มงานตกแต่ง เช่น การจัด เฟอร์นิเจอร์ ปูพรม และรายละเอียดอื่นๆ แต่ถ้าเรา เช่าห้อง หรือบ้านอยู่ วิธีการตกแต่งที่ดีที่สุด คือ คงโครงสร้างเดิมไว้ให้มากที่สุด และแก้ไข ข้อบกพร่องต่างๆ ด้วยวิธีการของการตกแต่ง เช่น หน้าต่างที่ ใหญ่เกินไป ก็ติด บางส่วน ของหน้าต่าง ด้วยบังตา ถ้าหน้าต่างที่เล็กเกินไป อาจจะทำให้ดูกว้างขึ้นได้ ด้วย การติดกระจกการจัดบริเวณนั่งเล่น
บริเวณนั่งเล่นเป็นส่วนสำคัญที่ใช้นั่งคุยกัน ดูทีวี ทานขนม เล่นเกมส์ อ่านหนังสือ และพักผ่อน ดังนั้นที่นั่ง ที่ใช้ควรจะสบาย และจัดวางอุปกรณ์ การเล่นให้อยู่ใกล้ๆ กับเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ ควรจะเคลื่อนย้ายได้ เพื่อให้เหมาะ กับการนำมาจัดใหม่ ในการ สังสรรค์กันแต่ละครั้ง ในกรณีที่เป็นห้องขนาดเล็ก แต่ถ้าเป็นห้องขนาดใหญ่ ควรใช้เฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ และเคลื่อนย้าย ไม่ได้หนึ่งหรือสองตัว นอกจากนั้น ควรจะเป็น เฟอร์นิเจอร์ที่มีน้ำหนักเบา ซึ่งสามารถนำมาตั้ง รวมกับเฟอร์นิเจอร์ประเภทแรก ได้เมื่อมีแขกมาเยี่ยม เป็นจำนวนมาก และเฟอร์นิเจอร์สมัยใหม่ ซึ่งดัดแปลง ใช้ได้หลายอย่าง จะช่วยเปลี่ยนแปลง ให้บรรยากาศการออกแบบห้องนั่งเล่น
การวางผังห้องนั่งเล่น
การจัดวางควรจะแยกออกจากบริเวณทางเดิน เมื่อมีคนเดินไปมาจะได้ไม่เป็นการรบกวนสมาธิ ของผู้ที่นั่งพักผ่อนอ่านหนังสือ พูดคุย หรือดูรายการ โทรทัศน์ การจัดวางหนังสือ แผ่นเสียง เทปคาสเซ็ท วิดีโอเทป หรืออุปกรณ์อื่นๆ ควรจัดวางในที่ที่หยิบใช ได้ง่าย จัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม จัดวางโต๊ะเตี้ยๆ สำหรับวางแก้วน้ำ ที่เขี่ยบุหรี่ และแมกกาซีนต่างๆ ไว้ในบริเวณที่นั่ง ติดตั้งโคมไฟ เพิ่มให้สว่างพอ และอยู่ในตำแหน่งที่ใช้นั่งอ่านหนังสือ เขียนหนังสืองานเย็บปักถักร้อย และงานอื่นๆ ที่ต้องใช้สายตา
เราควรคำนึงการประกอบกิจกรรมอื่นๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการวางแบบแปลนเลยทีเดียว เช่น การทำงาน เขียนหนังสือ ทำการบ้าน อ่านหนังสือ เหล่านี้ควรจะอยู่ในบริเวณที่สงบ ถ้าเป็นไปได้ควรจะจัดไว้ ในห้องนอน เช่นเดียวกันกับอุปกรณ์ ในการเย็บปักถักร้อย ขนาดใหญ่นั้นไม่เหมาะ ที่จะนำมาตั้งไว้ ในห้องนั่งเล่น แต่ถ้าจำเป็นจะต้องใช้งานจริงๆ ก็ใช้ในเวลาที่ไม่มีการใช้งานในห้องนี้ โต๊ะเก้าอี้ที่ใช้ ควรเป็นชุดเดียวกัน เพราะเมื่อมีการจับแยกชุด ไปไว้ห้องอื่นจะสังเกตได้
การจัดวางจุดสนใจในห้องนั่งเล่น
ห้องนั่งเล่นไม่ควรเป็นห้องที่น่าเบื่อ ฉะนั้นจึงควร มีการจัดจุดสนใจไว้ตามตำแหน่ง ต่างๆ ซึ่งในห้องหนึ่งๆ อาจมีการจัดทำได้หลายๆ วิธีร่วมกัน หรือนับเฉพาะ วิธีใด วิธีหนึ่งเท่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับความพอใจ ของเจ้าของ บ้านเอง การจัดวางกระถางต้นไม้ รวมกันและจัดไฟส่อง ในจุดนั้น ทำให้มีชีวิตชีวาในบริเวณนั้น ซึ่งเดิมเป็น บริเวณมุม ที่ค่อนข้างมืด หรือการจัดดอกไม้แห้ง ดอกไม้สด ไว้หน้ากระจก ทำให้สวยสะดุดตา มากยิ่งขึ้น แขวนโคมไฟที่สวยงามเป็นกลุ่ม โดยมีจุดประสงค์ เน้นทางด้านความงาม หรือจะเลือกที่สวยงาม มาสักชิ้นหนึ่ง ซึ่งอาจจะ เป็นโคมไฟแบบตั้ง นำมาตั้งไว้ ในตำแหน่งที่โดดเด่น และเรายังได้แสงสว่าง จากโคมไฟได้อีกด้วย
การจัดวางจุดสนใจในห้องนั่งเล่น
ภาพวาดด้วยสีต่างๆ นำมาติดในตำแหน่ง ที่กลมกลืน และสามารถชื่นชม ความงามของภาพ ได้ถ้ามีภาพที่สำคัญ หรือรัก เป็นพิเศษให้จัดไว้ ในตำแหน่งที่สำคัญ โดดเด่น และแยกจากภาพอื่นๆ ติดไฟสปอตไลท์ส่องภาพ และถ้ามี เฟอร์นิเจอร์ ที่พิเศษ เราอาจจะจัดไว้ใน ลักษณะ ที่คล้ายคลึงกันได้ ควรใช้ประโยชน์จากหนังสือดีๆ ที่เราอ่านอยู่ เป็นประจำ จัดหนังสือเหล่านี้ ไว้เป็น กลุ่มบนโต๊ะข้าง หรือโต๊ะเตี้ยสำหรับ วางของ แน่นอนที่สุด ผู้ที่ได้มา นั่งพักผ่อน หรือพูดคุยกัน ย่อมให้ความสนใจ และหยิบดูเพลินๆ เป็นการขจัดความเบื่อหน่าย ในการรอคอยได้ สำหรับนักสะสมของเก่า ของโบราณ ศิลปวัตถุหรือของจุกจิก จัดวางของเหล่านั้นให้สวยงาม และควรเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆ เพื่อให้เป็น จุดเด่นที่แปลก และน่าสนใจ หนังสือหายาก วัตถุโบราณ หินกรวด กล่องต่างๆ แก้วสวยงาม ตุ๊กตา เหยือก ยิ่งหาของที่แปลก ได้เท่าไรยิ่งดี บริเวณที่จัดวาง ไว้นั่นก็ดูยิ่งน่าสนใจมากขึ้น
ลวดลายประดับ ทางสถาปัตยกรรม เช่น ซุ้มประตู และลายปูนนั้น หรือลวดลายประดับเพดาน สิ่งเหล่านี้ เราควรจะรักษาเอาไว้ และซ่อมแซม ให้อยู่ในสภาพ ที่สมบูรณ์ อย่าตั้งเฟอร์นิเจอร์ บังความสวยงาม ของลวดลายเหล่านี้ และควรจัดแสงไฟ ให้ส่องสว่าง เน้นความงามในจุดเหล่านี้ โดยปกติแล้ว ในห้องนั่งเล่น มักจะตั้งโทรทัศน์ เป็นจุดศูนย์กลาง แต่โทรทัศน์ ไม่เป็น จุดศูนย์กลาง ที่ดีนัก เฉพาะอย่างเวลา ที่มีรายการ อีกประเภทหนึ่ง โทรทัศน์ อยู่ตรงกลาง แล้วล้อมรอบ ด้วยเฟอร์นิเจอร์ การและกิจกรรมอื่นๆ ไว้บนโต๊ะ ที่มีล้อเลื่อนเพื่อจะได้เคลื่อนย้ายออกไปได้ เมื่อไม่มีรายการโทรทัศน์ .
การวางผังห้องนั่งเล่น
การจัดวางควรจะแยกออกจากบริเวณทางเดิน เมื่อมีคนเดินไปมาจะได้ไม่เป็นการรบกวนสมาธิ ของผู้ที่นั่งพักผ่อนอ่านหนังสือ พูดคุย หรือดูรายการ โทรทัศน์ การจัดวางหนังสือ แผ่นเสียง เทปคาสเซ็ท วิดีโอเทป หรืออุปกรณ์อื่นๆ ควรจัดวางในที่ที่หยิบใช ได้ง่าย จัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม จัดวางโต๊ะเตี้ยๆ สำหรับวางแก้วน้ำ ที่เขี่ยบุหรี่ และแมกกาซีนต่างๆ ไว้ในบริเวณที่นั่ง ติดตั้งโคมไฟ เพิ่มให้สว่างพอ และอยู่ในตำแหน่งที่ใช้นั่งอ่านหนังสือ เขียนหนังสืองานเย็บปักถักร้อย และงานอื่นๆ ที่ต้องใช้สายตา
เราควรคำนึงการประกอบกิจกรรมอื่นๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการวางแบบแปลนเลยทีเดียว เช่น การทำงาน เขียนหนังสือ ทำการบ้าน อ่านหนังสือ เหล่านี้ควรจะอยู่ในบริเวณที่สงบ ถ้าเป็นไปได้ควรจะจัดไว้ ในห้องนอน เช่นเดียวกันกับอุปกรณ์ ในการเย็บปักถักร้อย ขนาดใหญ่นั้นไม่เหมาะ ที่จะนำมาตั้งไว้ ในห้องนั่งเล่น แต่ถ้าจำเป็นจะต้องใช้งานจริงๆ ก็ใช้ในเวลาที่ไม่มีการใช้งานในห้องนี้ โต๊ะเก้าอี้ที่ใช้ ควรเป็นชุดเดียวกัน เพราะเมื่อมีการจับแยกชุด ไปไว้ห้องอื่นจะสังเกตได้
การจัดวางจุดสนใจในห้องนั่งเล่น
ห้องนั่งเล่นไม่ควรเป็นห้องที่น่าเบื่อ ฉะนั้นจึงควร มีการจัดจุดสนใจไว้ตามตำแหน่ง ต่างๆ ซึ่งในห้องหนึ่งๆ อาจมีการจัดทำได้หลายๆ วิธีร่วมกัน หรือนับเฉพาะ วิธีใด วิธีหนึ่งเท่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับความพอใจ ของเจ้าของ บ้านเอง การจัดวางกระถางต้นไม้ รวมกันและจัดไฟส่อง ในจุดนั้น ทำให้มีชีวิตชีวาในบริเวณนั้น ซึ่งเดิมเป็น บริเวณมุม ที่ค่อนข้างมืด หรือการจัดดอกไม้แห้ง ดอกไม้สด ไว้หน้ากระจก ทำให้สวยสะดุดตา มากยิ่งขึ้น แขวนโคมไฟที่สวยงามเป็นกลุ่ม โดยมีจุดประสงค์ เน้นทางด้านความงาม หรือจะเลือกที่สวยงาม มาสักชิ้นหนึ่ง ซึ่งอาจจะ เป็นโคมไฟแบบตั้ง นำมาตั้งไว้ ในตำแหน่งที่โดดเด่น และเรายังได้แสงสว่าง จากโคมไฟได้อีกด้วย
การจัดวางจุดสนใจในห้องนั่งเล่น
ภาพวาดด้วยสีต่างๆ นำมาติดในตำแหน่ง ที่กลมกลืน และสามารถชื่นชม ความงามของภาพ ได้ถ้ามีภาพที่สำคัญ หรือรัก เป็นพิเศษให้จัดไว้ ในตำแหน่งที่สำคัญ โดดเด่น และแยกจากภาพอื่นๆ ติดไฟสปอตไลท์ส่องภาพ และถ้ามี เฟอร์นิเจอร์ ที่พิเศษ เราอาจจะจัดไว้ใน ลักษณะ ที่คล้ายคลึงกันได้ ควรใช้ประโยชน์จากหนังสือดีๆ ที่เราอ่านอยู่ เป็นประจำ จัดหนังสือเหล่านี้ ไว้เป็น กลุ่มบนโต๊ะข้าง หรือโต๊ะเตี้ยสำหรับ วางของ แน่นอนที่สุด ผู้ที่ได้มา นั่งพักผ่อน หรือพูดคุยกัน ย่อมให้ความสนใจ และหยิบดูเพลินๆ เป็นการขจัดความเบื่อหน่าย ในการรอคอยได้ สำหรับนักสะสมของเก่า ของโบราณ ศิลปวัตถุหรือของจุกจิก จัดวางของเหล่านั้นให้สวยงาม และควรเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆ เพื่อให้เป็น จุดเด่นที่แปลก และน่าสนใจ หนังสือหายาก วัตถุโบราณ หินกรวด กล่องต่างๆ แก้วสวยงาม ตุ๊กตา เหยือก ยิ่งหาของที่แปลก ได้เท่าไรยิ่งดี บริเวณที่จัดวาง ไว้นั่นก็ดูยิ่งน่าสนใจมากขึ้น
ลวดลายประดับ ทางสถาปัตยกรรม เช่น ซุ้มประตู และลายปูนนั้น หรือลวดลายประดับเพดาน สิ่งเหล่านี้ เราควรจะรักษาเอาไว้ และซ่อมแซม ให้อยู่ในสภาพ ที่สมบูรณ์ อย่าตั้งเฟอร์นิเจอร์ บังความสวยงาม ของลวดลายเหล่านี้ และควรจัดแสงไฟ ให้ส่องสว่าง เน้นความงามในจุดเหล่านี้ โดยปกติแล้ว ในห้องนั่งเล่น มักจะตั้งโทรทัศน์ เป็นจุดศูนย์กลาง แต่โทรทัศน์ ไม่เป็น จุดศูนย์กลาง ที่ดีนัก เฉพาะอย่างเวลา ที่มีรายการ อีกประเภทหนึ่ง โทรทัศน์ อยู่ตรงกลาง แล้วล้อมรอบ ด้วยเฟอร์นิเจอร์ การและกิจกรรมอื่นๆ ไว้บนโต๊ะ ที่มีล้อเลื่อนเพื่อจะได้เคลื่อนย้ายออกไปได้ เมื่อไม่มีรายการโทรทัศน์ .
ห้องนั่งเล่นแบบทางการ
ห้องนั่งเล่น ที่เป็นทางการจะไม่ใช้ เพื่อกิจกรรมอื่น นอกจาก นั่งเล่น พักผ่อน พูดคุย ดังนั้นที่นั่งเล่น จึงเป็นส่วน ที่สำคัญที่สุด อาจจะตกแต่งด้วย แบบทันสมัย หรือในรูปแบบเก่า หรือจะผสมผสานระหว่าง ทั้งสองรูปแบบ บางครั้ง อาจตกแต่ง ไว้อย่างหรูหรา แต่ยังคงไว้ ซึ่งความสะดวกสบาย ถ้าเนื้อที่ในห้องนั้น อำนวย ควรตั้งโซฟาไว้หนึ่งหรือสองตัว และจัดวางเก้าอี้ ไว้หลายๆ ตัว เฟอร์นิเจอร์ทุกตัว จัดเข้ากลุ่มกัน อย่างเป็นทางการ ถ้าเป็นห้องรับรองที่ใหญ่มากๆ อาจจะจัด เฟอร์นิเจอร์ ไว้หลายๆ กลุ่ม โดยคำนึงว่า เก้าอี้ที่จัดไว้ ทุกตัว ใช้ประโยชน์ได้ สำหนับเก้าอี้ ที่มีน้ำหนักเบา อาจจะเคลื่อนย้าย จากกลุ่มหนึ่ง ไปอีกกลุ่มหนึ่งได้ ตามความจำเป็น แต่ เฟอร์นิเจอร์ ที่เป็นหลัก จะต้องตั้งไว้อย่างถาวร และไม่มี การเคลื่อนย้าย จากตำแหน่งเดิม โต๊ะเตี้ยที่จัดวางไว้ ให้หาต้นไม้ ที่เขี่ยบุหรี่ ขนาดใหญ่ แจกันดอกไม้ และสิ่งต่าง ๆ ที่สวยงามประทับไว้ ม่านควรตัดเย็บจากผ้าที่มีคุณภาพดี เช่น ผ้าไหมฝ้ายเนื้อดี ผ้าขนสัตว์ ในห้องสมัยใหม่นั้น สามารถแขวนม่านได้ทันที โดยไม่ต้อง ประดับประดาอะไรเพิ่มเติม แต่สำหรับห้องแบบเก่าควรจะใช้ ผ้าที่มีลายอดกไม้ มีการติด ฟู คิ้ว และ ครุย จับจีบหรือ ทำม่านย้อย ให้สวยงาม พื้นห้องควรจะเป็น พื้นไม้ปาร์เก้ หรือพรมตลอดห้อง
การตกแต่ง ควรเป็นแบบง่ายๆ แต่ทำอย่างดี อาจตกแต่งด้วย วอลล์เปเปอร์ ลายเรขาคณิตเล็กๆ ที่มีคุณภาพดี หรือ ผ้าแต่งผนัง ที่มีสีสันหลายหลาก หรือทาสีที่เป็นมันวาว บนโต๊ะเตี้ย เพื่อให้ดูเหมือน เป็นพื้นขัดระยิบระยับ หรือจะใช้ วิธีที่นิยมกัน คือทำลวด ลายหินอ่อน หรือวาดเป็นแต้ม ๆ ฯลฯ
รูปภาพไม่ว่า จะเป็นภาพพิมพ์สมัยใหม่ หรือภาพสีน้ำมัน ใส่กรอบสวยงามที่ดูภูมิฐาน แขวนในตำแหน่ง ที่ได้เลือกสรร ว่าเป็นจุดส่งเสริมให้เกิดความงาม ส่องไฟเหมือนกับการติดรูปแบบเก่า นั้นคือ จากสปอตไลท์ที่ติดเพดาน หรือ หลอดไฟยาว ที่ติดซ่อนไว้ใต้ชั้นวางของ หรือไฟจากโคมตั้งพื้น .
การตกแต่งห้อง ในรูปแบบชีวิตในเมือง นั้น อาจสิ้นเปลือง ค่าใช้จ่าย แต่เมื่องานสำเร็จออกมา จะดูสวยงาม และสะดุดเสมอ เราสามารถสร้าง สรรบรรยากาศภายในห้องออกมา ในรูปแบบ ของศิลปะยุคต่างๆ ตั้งแต่สมัยเก่า จนถึงยุค ของโพสต์โมเดิร์น ทั้งนี้ขึ้นกับรสนิยม และความกว้างใหญ่ ของห้องเป็นเกณฑ์ด้วย
เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว ขนาดเล็กที่ง่าย ต่อการโยกย้าย และจัดใหม่ พร้อมด้วยโซฟาขนาดใหญ่ อีกหนึ่ง หรือสองตัว ก็เป็นสิ่งที่เพียงพอสำหรับการตำแต่ง ไม่ควรใส่เฟอร์นิเจอร์เข้าไป อย่างมากมายเกินพอดี จะทำให้ห้องรกรุงรัง อีกทั้งเป็นการกีดขวางทาง หาโต๊ะ ที่ออกแบบ อย่างสวยงาม ซึ่งทำด้วยวัสดุพลาสติก ลามิเนท แก้ว หรือไม้ นำมาลองตกแต่งดู ในห้องเล็กๆ เราควรจัดข้าวของต่างๆ เช่นหนังสือโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ เครื่องประดับตกแต่ง หรือแม้แต่การ จัดแสงสว่าง ต้องจัดให้มีระเบียบเรียบร้อย และให้ดู เหมือนการตกแต่งมิใช่วางเรียงกันไว้เฉยๆ เช่น วางเรียงในชั้นวาง หรือวางบนตู้ ซึ่งวางชิดผนัง ในห้องที่ตกแต่งอย่างไฮเทค หรือวางในตู้โชว์ ที่ด้านหน้าใส่กระจกใส ซึ่งการจัดนี้เราต้องคำนึง ถึงความสวยงามเท่าๆ กับเรื่องความสะดวกของการใช้
ในห้องนั่งเล่นที่มีผนังกว้าง เราอาจจะทำชั้นวางหนังสือให้ยาวตลอด หรือทำชั้นวางของตามรอบๆ ขอบประตูหน้าต่าง เพื่อใช้เนื้อที่ให้เป็นปะโยชน์เต็มที่ และควรจะมีการประดับ ด้วยม่านผ้าที่เผยให้เห็น รูปร่างหน้าต่างและคิ้ว ซึ่งจะทำ หน้าต่างดูสมบูรณ์ หรือถ้าเราต้องการจะติดผ้าม่านให้ปกปิดวิวภายนอก ที่ไม่สวยงาม แต่ต้องการ ให้มีแสงสว่าง ลอดเข้ามาก็ให้ใช้ผ้าม่านแบบโปร่งใสเพื่อที่ จะปิดไว้ได้ตลอดเวลา เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยง ไม่ให้เห็นฝุ่นละอองที่จับตามข้างฝาได้งาย การบุผนังก็ควรใช้วอลล์เปเปอร์ ลายดอกไม้สีซีดๆ เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์ดังข้างต้นแล้ว ยังได้บรรยากาศห้อง ที่คลาสสิก และง่ายต่อ การตกแต่ง อีกด้วย หรือถ้าในบุคคลที่ ชอบความท้าทาย รุนแรง อาจจะให้พลาสติกลามิเนท แผ่นพลาสติก หรือทาผนังด้วยสีน้ำมัน ที่เป็นเงาที่สามารถเช็ดได้ หรือติดกระจกแก้ว หรือกระเบื้องก็ได้
การปูพื้นจะใช้วัสดุชนิดไหน อาทิ พรม ไม้ หรือ ปาร์เก้ ก็ควรปูให้ตลอดห้อง เพื่อให้ความสะดวกสบาย อย่างเต็มที่ไม้ประดับควรจะใช้ต้น ที่มีขนาดใหญ่สวยงาม แทนที่จะตกแต่งด้วยกระถางเล็กๆ เพื่อให้บรรยากาศในห้อง ใกล้ชิดและอบอุ่นขึ้น การเลือกรูปภาพ และสิ่งประดับอื่นๆ ก็ควรจะเลือกให้มีลักษณะสอดคล้อง กับรูปแบบ ที่ใช้ในการแต่งห้อง และเนื่องจาก อาคารส่วนใหญ่ ที่อยู่ในเมือง มักจะต้องใช้แสงสว่าง จากไฟฟ้าในเวลากลางวัน ดังนั้นจึงควรเลือกโคมไฟ ที่ใช้อย่างพิถีพิถันที่ดูน่าสนใจ และอาจจะใช้หลายๆ แบบในห้องเดียวกันได้ แต่ก็ควรให้มีลักษณะ กลมกลืนกัน
บ้านที่อยู่นอกเมือง มักมีห้องที่กว้างขวาง พอที่จะจัดตกแต่ง ให้มีความรู้สึกโปร่งโล่ง และผ่อนคลาย ได้มากกว่า โต๊ะขนาดใหญ่ เก้าอี้แบบโซฟา ที่นุ่มสบาย ขนาดใหญ่ ชั้นวางของที่กว้างขวาง เราสามารถ ลำเลียงเข้ามาใช้ได้ โต๊ะติดผนังที่มีขนาดยาว เพื่อใช้เป็นที่วางรูปของครอบครัว ไม้แกะสลัก รูปปั้น ดินเผา แบบเคลือบด้าน หรือไม่เคลือบ และอื่นๆ ถ้าจะตั้งโต๊ะอาหาร ในห้องนั่งเล่น ควรจะตั้งโต๊ะ อาหารขนาดใหญ่ ที่สามารถรองรับ กลุ่มคนได้มาก และหลีกเลี่ยง การใช้วัสดุพวกโลหะ หรือพลาสติกต่างๆ เพื่อให้รับกับบรรยากาศนอกเมือง ควรจะใช้ไมใน การตกแต่ง ให้มากที่สุด วัสดุที่มาจากธรรมชาติ ทุกชนิด เหมาะสำหรับการตกแต่งประเภทนี้ เช่น กระเบื้องหินกาบ หินปูพื้นและอิฐ ถึงแม้ราคาจะแพง แต่ก็ดูสวยงาม เข้าบรรยากาศ และใช้ได้นาน จะใช้พรมทอมือ ที่มีลวดลายคลาสสิก หรือใช้เสื่อที่ทอ ด้วยกกสานด้วยใบเตย วัสดุธรรมชาติอื่นก็ได้ ในการปูพื้น ซึ่งหาได้ง่ายในท้องถิ่นและราคาไม่แพง
ผ้าม่านควรใช้ผ้าฝ้าย หรือมู่ลี่ไม้ไผ่ ถ้าเป็นผ้าควรมีลวดลายเรียบๆ แขวนอยู่บนราวไม้ ไม่ควรแต่งลวดลาย ด้วยการปักช่อดอกไม้ อย่างวิจิตร ไม่ติดพู่ระย้า และชายครุยแต่อย่างใด เพราะการประดับประดาเช่นนั้น จะให้ความรู้สึกหรูหราและมีแบบแผนเกินไป ผนังอาจจะสร้างมาจาก อิฐสะอาดๆ ไม่ฉาบปูน หรือสร้างจากหิน ซึ่งอาจจะเสริมบรรยากาศ การตกแต่ง ด้วยการสเตซิลสีอ่อนๆ หรือทาสีแล้วขัดลายออก ให้เห็นเนื้อไม้ธรรมชาติ หรือในกรณีที่มีเด็กเล็กๆ เพื่อเป็นการป้องกัน มิให้เปื้อนง่าย ก็สามารถติด วอลล์เปเปอร์สีอ่อนๆ ที่สามารถเช็ดถูทำความสะอาดได้
แสงไฟไม่ควรให้แสงที่สว่างเจิดจ้า ควรให้มี จุดกำเนิดแสงเป็นจุดๆ เน้นในจุดที่ใช้งาน และอาจเพิ่ม บรรยากาศด้วยการใช้เทียนสวยๆ หรือตะเกียงน้ำมัน แต่ทั้งนี้จะต้องระมัดระวัง อุบัติเหตุจากเพลิงไหม้ด้วย การประดับประดา ควรใช้แจกันขนาดใหญ่ ปักด้วยดอกไม้ หรือดอกไม้ใบไม้แห้งช่อใหญ่ ที่จัดไว้ในภาชนะ ที่หาได้ในท้องถิ่น หรือนำช่อดอกไม้ ใบไม้แห้ง มาเข้าช่อและติดผนัง หรือต้นเสาก็ได้ ภาพที่ใช้ประดับผนัง ควรเป็นภาพจากธรรมชาติ เช่น ดอกไม้ ทิวทัศน์ในชนบท หรือภาพถ่าย ของสมาชิก ในครอบครัว สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือ ไม่ควรนำภาพ สมัยใหม่ ในรูปแบบของนามธรรม หรือรูป ของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่เข้าไปแขวน เพราะจะให้ความรู้สึก ที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง
ในการตกแต่งห้องควรคำนึงถึง การดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น อย่าขัดพื้นจนมันวาว ถ้าภายในบ้าน มีคนสูงอายุ และเป็น โรคไขข้ออักเสบ และคงไม่มีประโยชน์อันใด ถ้าเราปลูกต้นไม้ไว้ในบ้าน แต่กลับไม่มีเวลาอยู่บ้าน เพื่อชื่นชมหรือ ดูแล
ตรวจดูการติดตั้ง หลอดไฟ ว่าอยู่ในระดับที่ส่องจ้า เข้าตาจนเกินไปหรือไม่ และควรจะมีแสงไฟ สำหรับการอ่านหนังสือ เย็บผ้า เล่นเปียโน และอื่นๆ เพื่อป้องกันสายตาเสีย หรืออาจปล่อยแสงแดด เข้ามาในห้อง วางเก้าอี้ โต๊ะเขียนหนังสือ หรือเปียโน โดยหันหลังให้หน้าต่าง เพื่อให้แสงส่องข้ามไหล่เข้ามา สีเข้มเป็นสี ที่เหมาะกับห้องที่ไม่ใช้บ่อยนัก สีอ่อนๆ หรือสีเทาอ่อน ผ้าพิมพ์ดอกสีจางผืนใหญ่ และผ้าม่านสีจางเรียบ จะทำให้เกิดความรู้สึกที่ผ่อนคลาย ได้มากกว่า ไม่ตกแต่งห้องจนรกเกินไป การตกแต่ง ด้วยเฟอร์นิเจอร์เพียงแต่น้อย และนั่งสบาย ประดับประดาด้วยเครื่องประดับอื่นๆ เช่น แจกัน กระถาง และของที่ระลึกต่างๆ จะทำให้ห้องเป็นห้อง ที่สบายและผ่อนคลายได้มากที่สุด
การแยกห้องออกมาต่างหากยังสามารถเป็น วัสดุป้องกันการสะท้อน ของเสียงที่ผนังได้อีกด้วย เมื่อประกับเครื่องเสียง และลำโพง ที่มีคุณภาพแล้วละก็ ทำให้ห้องฟังเพลงที่สมบูรณ์แบบเลยทีเดียวโทรทัศน์สีดำ และเทานั้น เหมาะกับติดตั้ง ภายในบ้าน มากกว่าสีอื่น และควรให้อยู่ในตำแหน่ง ที่กลมกลืน กับชั้นวางของ หรือเฟอร์นิเจอร์อื่น ไม่ควรที่จะจัดตั้ง ให้อยู่บนตู้ หรือโต๊ะที่ทำขึ้นมา ให้โดดเด่นต่าง จากส่วนอื่นๆ อย่างชัดเจน เพราะทำให้รู้สึกเหมือนว่า เป็นแท่นบูชา ประจำบ้านไป สำหรับบ้านที่มีเนื้อที่จำกัด การติดตั้งโทรทัศน์ และเครื่องเสียง ไว้ภายในห้องเดียวกัน เป็นเรื่องที่จำเป็น ซึ่งอาจจะช่วย ให้คล่องตัวได้ด้วย การวางโทรทัศน์ไว้บนโต๊ะหมุน ที่ปรับทิศทางไดิเป็นพิเศษ เพื่อหมุนย้านทิศทาง ตามการเคลื่อนย้ายของตนได้ เช่น จากโต๊ะอาหาร ไปนั่งพักผ่อนที่เก้าอี้และโซฟานั่งเล่น
เครื่องเรือนในห้องรับแขกประกอบด้วย
การจัด
การจัดห้องรับแขกโดยทั่วไปจัดได้ 2 แบบ คือ
นอกจากนี้ อาจมีโต๊ะทำงาน หรือ อ่านหนังสือ มุมสำหรับแม่บ้านทำงานเย็บปักถักร้อย เก้าอี้น้ำหนักเบา หรือ เก้าอี้นั่งครึ่งนอน เพื่อพักผ่อนสบาย ๆ
การจัด หากในห้องพักผ่อน มีกิจกรรมหลาย ๆ อย่างก็ควรแยกเป็นมุม เช่นการพูดคุย และการเพลิดเพลิน กับ สิ่งบันเทิง จะอยู่ใกล้กัน เพราะไม่ต้องใช้แสงสว่างมาก ส่วนการอ่านหนังสือ การทำงาน การเล่นเกม จะอยู่ด้านเดียวกัน โดยมีแสงสว่างเฉพาะที่บริเวณนั้น ๆ ที่สำคัญคือห้องต้องไม่มีเครื่องเรือนและอุปกรณ์ต่าง ๆ มากจนคับแคบ เกินไป จุดสำคัญของห้องนี้ ไม่ได้อยู่ที่ การจัดเครื่องเรือน ให้เข้าชุดกัน แต่อยู่ที่การแบ่งเนื้อที่ให้เกิด ประโยชน์ใช้สอย และ สะดวกสบาย
แสงไฟไม่ควรให้แสงที่สว่างเจิดจ้า ควรให้มี จุดกำเนิดแสงเป็นจุดๆ เน้นในจุดที่ใช้งาน และอาจเพิ่ม บรรยากาศด้วยการใช้เทียนสวยๆ หรือตะเกียงน้ำมัน แต่ทั้งนี้จะต้องระมัดระวัง อุบัติเหตุจากเพลิงไหม้ด้วย การประดับประดา ควรใช้แจกันขนาดใหญ่ ปักด้วยดอกไม้ หรือดอกไม้ใบไม้แห้งช่อใหญ่ ที่จัดไว้ในภาชนะ ที่หาได้ในท้องถิ่น หรือนำช่อดอกไม้ ใบไม้แห้ง มาเข้าช่อและติดผนัง หรือต้นเสาก็ได้ ภาพที่ใช้ประดับผนัง ควรเป็นภาพจากธรรมชาติ เช่น ดอกไม้ ทิวทัศน์ในชนบท หรือภาพถ่าย ของสมาชิก ในครอบครัว สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือ ไม่ควรนำภาพ สมัยใหม่ ในรูปแบบของนามธรรม หรือรูป ของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่เข้าไปแขวน เพราะจะให้ความรู้สึก ที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง
รูปแบบในการตกแต่ง
ที่เก็บของ ตู้หรือชั้นเก็บของทำให้ห้องนั่งเล่น สามารถบรรจุอุปกรณ์ และสิ่งของต่างๆ ไว้ได้อย่างมากมาย ทำให้สะดวกและ เป็นระเบียบ เรียบร้อย ที่เก็บของนี้ สามารถขยาย หรือต่อเติมได้ตามกำลังทรัพย์ และความจำเป็นซึ่งมีขายตามท้องตลาด หรือสั่งทำได้ ตามร้านรับสั่งทำทั่วไป ห้องนั่งเล่น คือห้องพักผ่อน ไม่ว่าเราจะตกแต่งห้อง ในรูปแบบและศิลปะแบบใด ไม่ว่าเราจะอยู่ ในเมืองใหญ่ หรือชนบท ห้องรับแขก/นั่งเล่นจัดขึ้น เพื่อจุดประสงค์อย่างเดียวกัน คือ เป็นที่สำหรับ การพักผ่อน เราจึงควรตกแต่ง ให้ดูดีและสบาย ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนที่ไม่รักษา ข้าวของ ก็ไม่ควรใช้เฟอร์นิเจอร์ที่บอบบาง และสามารถถอด สิ่งต่างๆ อาทิ ม่าน พรม ที่หุ้มเบาะต่างๆซักได้ง่ายในการตกแต่งห้องควรคำนึงถึง การดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น อย่าขัดพื้นจนมันวาว ถ้าภายในบ้าน มีคนสูงอายุ และเป็น โรคไขข้ออักเสบ และคงไม่มีประโยชน์อันใด ถ้าเราปลูกต้นไม้ไว้ในบ้าน แต่กลับไม่มีเวลาอยู่บ้าน เพื่อชื่นชมหรือ ดูแล
ตรวจดูการติดตั้ง หลอดไฟ ว่าอยู่ในระดับที่ส่องจ้า เข้าตาจนเกินไปหรือไม่ และควรจะมีแสงไฟ สำหรับการอ่านหนังสือ เย็บผ้า เล่นเปียโน และอื่นๆ เพื่อป้องกันสายตาเสีย หรืออาจปล่อยแสงแดด เข้ามาในห้อง วางเก้าอี้ โต๊ะเขียนหนังสือ หรือเปียโน โดยหันหลังให้หน้าต่าง เพื่อให้แสงส่องข้ามไหล่เข้ามา สีเข้มเป็นสี ที่เหมาะกับห้องที่ไม่ใช้บ่อยนัก สีอ่อนๆ หรือสีเทาอ่อน ผ้าพิมพ์ดอกสีจางผืนใหญ่ และผ้าม่านสีจางเรียบ จะทำให้เกิดความรู้สึกที่ผ่อนคลาย ได้มากกว่า ไม่ตกแต่งห้องจนรกเกินไป การตกแต่ง ด้วยเฟอร์นิเจอร์เพียงแต่น้อย และนั่งสบาย ประดับประดาด้วยเครื่องประดับอื่นๆ เช่น แจกัน กระถาง และของที่ระลึกต่างๆ จะทำให้ห้องเป็นห้อง ที่สบายและผ่อนคลายได้มากที่สุด
การติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า
อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในห้องนั่งเล่น นอกจากโคมไฟต่างๆ แล้ว ยังมีอุปกรณ์สำหรับสันทนาการเช่น เครื่องเสียง และโทรทัศน์ และในปัจจุบัน ยังเพิ่มเติมด้วย เครื่องเล่น-บันทึกวีดีโอ วีดีโอเกมส์ และคอมพิวเตอร์ ที่ได้รับการพัฒนา เพื่อนำเข้ามาใช้ภายในบ้าน การติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า มีความสำคัญและมีผลกระทบ ต่อการตกแต่งส่วนอื่นๆ ของห้องเช่นกัน ฉะนั้นจึงต้องมีการวางแผนผังระบบไฟฟ้า และเตรียมติดเต้าเสียบไฟฟ้า ในตำแหน่ง และจำนวนที่ต้องการให้เพียงพอ บ้านที่กว้างขวางมีห้องหลายห้อง สามารถแยกห้องฟังเพลง ออกจากห้องนั่งเล่นได้ โดยต้องคำนึง ความกว้าง-ยาวและสูง ของห้องให้อยู่ใน ระยะที่ไม่ทำให้เกิดเสียงสะท้อน การแยกห้องออกมาต่างหากยังสามารถเป็น วัสดุป้องกันการสะท้อน ของเสียงที่ผนังได้อีกด้วย เมื่อประกับเครื่องเสียง และลำโพง ที่มีคุณภาพแล้วละก็ ทำให้ห้องฟังเพลงที่สมบูรณ์แบบเลยทีเดียวโทรทัศน์สีดำ และเทานั้น เหมาะกับติดตั้ง ภายในบ้าน มากกว่าสีอื่น และควรให้อยู่ในตำแหน่ง ที่กลมกลืน กับชั้นวางของ หรือเฟอร์นิเจอร์อื่น ไม่ควรที่จะจัดตั้ง ให้อยู่บนตู้ หรือโต๊ะที่ทำขึ้นมา ให้โดดเด่นต่าง จากส่วนอื่นๆ อย่างชัดเจน เพราะทำให้รู้สึกเหมือนว่า เป็นแท่นบูชา ประจำบ้านไป สำหรับบ้านที่มีเนื้อที่จำกัด การติดตั้งโทรทัศน์ และเครื่องเสียง ไว้ภายในห้องเดียวกัน เป็นเรื่องที่จำเป็น ซึ่งอาจจะช่วย ให้คล่องตัวได้ด้วย การวางโทรทัศน์ไว้บนโต๊ะหมุน ที่ปรับทิศทางไดิเป็นพิเศษ เพื่อหมุนย้านทิศทาง ตามการเคลื่อนย้ายของตนได้ เช่น จากโต๊ะอาหาร ไปนั่งพักผ่อนที่เก้าอี้และโซฟานั่งเล่น
เครื่องเรือนในห้องรับแขกประกอบด้วย
- เก้าอี้ยาว ขนาด 0.50 x 1.50 เมตร สูง 0.38-0.40 เมตร เป็นเก้าอี้มีพนักและเท้าแขนนั่งได้ 2-3 คน
- เก้าอี้เดี่ยว ขนาด 0.50 x 0.50 เมตร สูง 0.38-0.40เมตร นิยมแบบมีพนักและเท้าแขนเช่นเดียวกับเก้าอี้ยาว แต่นั่งได้คนเดียว
- โต๊ะกลาง ขนาด 0.60-0.65 x 0.80 เมตร สูง 0.40 เมตร ใช้สำหรับวางแจกัน หนังสือพิมพ์ ฯลฯ
- โต๊ะเล็ก ขนาด 0.40 x 0.40 เมตร สูง 0.40 เมตร ใช้วางแก้วน้ำ ที่เขี่ยบุหรี่ หรือโคมไฟเฉพาะแห่ง
การจัด
การจัดห้องรับแขกโดยทั่วไปจัดได้ 2 แบบ คือ
- แบบนั่งบนพื้น โดยปูเสื่อหรือพรม มีเบาะนั่งหลาย ๆ ใบและหมอนสามเหลี่ยมหรือหมอนอิงเพื่อให้นั่งสบายขึ้น และมีโต๊ะไว้สำหรับวางของ
- แบบนั่งเก้าอี้ มีการจัดหลายวิธีดังนี้
ก. จัดเก้าอี้ยาวและเก้าอี้เดี่ยวเป็นวงรอบ มีโต๊ะรับแขกอยู่ตรงกลาง
ข. จัดเก้าอี้ยาวไว้ตรงกลางมีเก้าอี้เดี่ยววางขนาบทั้งสองข้างและให้โต๊ะรับแขกตั้งอยู่หน้าเก้าอี้ยาว
ค. จัดเข้ามุมเหมาะกับห้องขนาดเล็กวางเก้าอี้ยาวสองตัวตั้งฉากกัน หรือวางเก้าอี้ยาวหนึ่งตัวตั้งฉากกับเก้าอี้เดี่ยวสองตัว ตั้งโต๊ะรับแขกหน้าเก้าอี้ยาว
ง.จัดเป็นสี่เหลี่ยมวางเก้าอี้ยาวหนึ่งตัวหันหน้าเข้าหาเก้าอี้เดี่ยวสองตัว ทำมุมฉากกับหน้าต่างหรือเครื่องเรือนอื่น เช่น ตู้โชว์ ตู้หนังสือเป็นต้น
นอกจากนี้ อาจมีโต๊ะทำงาน หรือ อ่านหนังสือ มุมสำหรับแม่บ้านทำงานเย็บปักถักร้อย เก้าอี้น้ำหนักเบา หรือ เก้าอี้นั่งครึ่งนอน เพื่อพักผ่อนสบาย ๆ
การจัด หากในห้องพักผ่อน มีกิจกรรมหลาย ๆ อย่างก็ควรแยกเป็นมุม เช่นการพูดคุย และการเพลิดเพลิน กับ สิ่งบันเทิง จะอยู่ใกล้กัน เพราะไม่ต้องใช้แสงสว่างมาก ส่วนการอ่านหนังสือ การทำงาน การเล่นเกม จะอยู่ด้านเดียวกัน โดยมีแสงสว่างเฉพาะที่บริเวณนั้น ๆ ที่สำคัญคือห้องต้องไม่มีเครื่องเรือนและอุปกรณ์ต่าง ๆ มากจนคับแคบ เกินไป จุดสำคัญของห้องนี้ ไม่ได้อยู่ที่ การจัดเครื่องเรือน ให้เข้าชุดกัน แต่อยู่ที่การแบ่งเนื้อที่ให้เกิด ประโยชน์ใช้สอย และ สะดวกสบาย
Read more: http://www.novabizz.com/CDC/LivingRoom.htm#ixzz1l0BmY94S
ห้องครัว
จัดได้ว่าเป็นห้องที่ถูกใช้ประโยชน์ มากมาย การดูแลรักษาเอาใจใส่จึงตามมา เป็นเงา ตามตัว เพื่อให้ห้องครัวอยู่ในสภาพ ที่น่าดู และน่าใช้อยู่เสมอ หลังจากการ ปรุงอ4หารเสร็จสิ้นแล้ว เราก็จะต้องเช็ดถู ทำความสะอาด บริเวณเตาแก๊ส และ ชั้นวางของ ให้สะอาด แต่เท่านี้ยังไม่พอ เพราะอย่างน้อย อาทิตย์หนึ่ง เราควร จะทำความสะอาด ในครัวให้หมดทุกซอกทุกมุม โดยเริ่มจาก การทำความสะอาด ฝาผนัง เพื่อล้างคราบน้ำมัน หรือเศษอาหาร ที่ติดอยู่ออก ให้หมด เตา ตู้เก็บของ ตู้เย็น ชั้นวางของ ซอกมุมต่างๆ ควรเช็ดฝุ่นละอองออก สำหรับพื้น จะต้องขัดล้าง ทำความสะอาด ไม่ให้คราบ สกปรก หลงเหลืออยู่ เมื่อทำความสะอาด ไปแล้ว ควรใช้ ผ้าแห้ง เช็ดอีกครั้ง นอกจากนี้เมื่อมีเวลาว่าง ก็ควรจะให้เวลากับห้องครัวบ้าง เพื่อดูแล ข้าวของ ให้เข้าที่ หรือปรับปรุง บางส่วน ให้ดูดีขึ้น หรือใช้ประโยชน์ ได้ดี กว่าเดิม ข้าวของที่จัด อย่างเป็น ระเบียบ การทำงานในห้องครัว ด้วยความสะดวก ราบรื่น ไม่มีสิ่งของกีดขวาง ทุกอย่างหยิบใช้ได้ง่าย ย่อมเป็นที่พึงพอใจ และชื่นใจให้ กับผู้ใช้อย่างมาก ซ้ำยังเป็นการเพิ่มความมีชีวิตชีวา ให้กับห้องครัวอีกด้วย ครัว เป็นสิ่งหนึ่ง ที่ทุกบ้าน ปฏิเสธไม่ได้ และยังคงให้ความสำคัญ กับครัว อย่างไม่หยุด หย่อน ครัวจัดได้ว่า เป็นบริเวณที่มีการใช้สอย ประโยชน์ไม่น้อยกว่า ส่วนอื่นๆ ของบ้านเลย ดังนั้น การออกแบบครัว ให้เข้ากับยุคสมัยใหม่นี้ มักจะเต็ม ไปด้วย อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ชนิดต่างๆมากมาย เพื่ออำนวย ความสะดวกสบาย แก่ผู้ใช้ หรือผู้ที่ต้องคลุกคลีอยู่กับครัวห้องครัว เป็นอีกห้องหนึ่งที่มีการกำหนด ลักษณะการใช้งาน ที่แตกต่างไป จากห้องอื่นๆ โดยเป็นส่วนใช้งาน ที่สำคัญภายในบ้าน ซึ่งใช้เป็นที่ ประกอบอาหาร เพื่อการยังชีพ นอกจากนั้น ครัวยังมีความสัมพันธ์ ในการใช้งานอย่างต่อเนื่อง กับส่วนรับประทานอาหารและส่วนอื่นๆ ในตัวบ้าน
ในบรรดาห้องทั้งหลาย ห้องครัวได้กลายเป็นห้องที่เราให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นห้อง ที่เราให้เวลา ในวันหนึ่งๆ กับห้องนี้ มากพอสมควร อีกทั้งยังต้องทุ่มเทค่าใช้จ่ายสำหรับการที่จะได้ "ห้องครัว" ที่ถูกอกถูกใจอีกด้วย ก่อนการตัดสินใจ ที่จะลงมือสร้างครัว หรือจัดตกแต่งครัว เพื่อให้เกิดความสวยงามนั้น สิ่งแรกที่ควรคำนึงถึงเป็นลำดับแรกคือ การออกแบบห้องครัว เป็นการผสมผสาน ทั้งศาสตร์และศิลป์ไว้ในห้อง ๆ เดียวอย่างกลมกลืนที่สุด ศิลป์คือความสวยงาม แม้ห้องนี้จะไม่ได้มีไว้โชว์แขกโดยตรงก็ตาม ส่วนศาสตร์ก็คือ การคำนึงถึงสุขอนามัยต่าง ๆ ผลพวงที่จะเกิดกับการประกอบอาหาร โดยเฉพาะอาหารไทย อย่างที่รู้ ๆ กันว่า อาหารไทยนั้น นอกจากจะรสจัด รสแซ่บแล้ว กลิ่นก็ยังรุนแรงอีกด้วย ตอนที่คุณปรุงก็ก่อให้เกิดความร้อนตลบอบอวลด้วย คงไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ที่พอคุณทำอาหารเสร็จจะมีกลิ่นติดตามเนื้อตัว ผมเผ้า เสื้อผ้า จนคนใกล้ชิดของคุณแซวว่า "เปลี่ยนน้ำหอมใหม่แล้วหรือ?" มีปัจจัยอะไรต้องคิดถึงบ้างลองไปดูกัน
ทิศทางของห้องไม่ควรอยู่ในทิศที่อับหรือทึบหรือพูดง่าย ๆ ก็คือห้องนี้ควรมีแสงสว่างเพียงพอนั่นแหละ มีแสงแดดส่องถึง เพื่อไล่ความชื้นออกไป ที่สำคัญต้องระบายอากาศดีด้วย ส่วนของคนจีน การวางฮวงจุ้ยสำหรับห้องครัวนั้น ก็กำหนดไว้ที่ทิศตะวันออก หรือทิศที่พระอาทิตย์ขึ้น จะได้ช่วยไล่ความชื้น ฆ่าเชื้อโรคจากเช้าถึงเที่ยงและเย็นสบายช่วงบ่ายถึงเย็นซึ่งเป็นเวลาทำครัว อีกทิศหนึ่งที่น่าสนใจคือทิศใต้ซึ่งเป็นทางลมพอดี
เมื่อหาทิศทางให้ห้องครัวได้แล้ว สิ่งที่คุณต้องพิจารณาต่อก็คือตำแหน่งที่สะดวกสบายในการเข้าถึงซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมี 2 ลักษณะคือ ครัวในบ้านและ ครัวนอกบ้าน โดยครัวในบ้านนั้นมักจะอยู่ชั้นล่างอาจจะติดโรงรถเพื่อความสะดวกสบายในการขนของ มักจะเป็นครัวเบาใช้เตรียมอาหาร ส่วนครัวนอกบ้านนั้นโดยทั่วไปถ้าบ้านของคุณมีเรือนคนใช้อยู่ก็มักจะสร้างครัวที่เรือนนี้ไปด้วยเลย
ทำนองเดียวกันคุณอาจจะทำบริเวณจอดรถไว้ที่เรือนนี้ด้วยก็ได้ เพื่อความสะดวก ในการขนของเข้าครัว แต่ถ้าบ้านของคุณเป็นบ้านขนาดเล็ก อาจจะต่อเติมหลังคา ด้านหลังบ้านใช้เป็นครัวประกอบอาหารหนักกลิ่นแรง ๆ ก็ได้ จะเลือกครัวใน หรือนอกบ้าน นั้น ปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการพิจารณาคงหนีไม่พ้น ความต้องการของครอบครัว ขนาด ของบ้าน ขนาดของที่ดิน แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกแบบใด คุณจะยังต้องคำนึงถึง ตำแหน่งของ ห้องนอนด้วย เพราะครัวไม่ควรอยู่ตรงกับห้องนอนชั้นบน นั่นจะทำให้ กลิ่นอาหาร ขึ้นไปรบกวน ตำแหน่งของท่อน้ำทิ้งก็ไม่ควรให้อยู่ใกล้ กับแหล่งน้ำ ใช้ เพราะน้ำ ที่เกิดจากการล้าง รวมไปถึงเศษอาหาร อาจจะไหลซึม และแปดเปื้อนกับแหล่งน้ำได้ ถ้าจะให้ดี คุณน่าจะจัดครัวให้ใกล้กับส่วนรับประทานอาหาร ไม่ว่าจะเป็น ห้องรับประทาน หรือระเบียง (ในกรณีที่คุณจัดเลี้ยง) เพื่อความสะดวก ในการลำเลียง อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ สำหรับห้องครัวคือเครื่องใช้ อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในครัว ซึ่งคุณควรจะพิจารณา ให้เหมาะสม กับครัวของคุณด้วย เพื่อที่ว่านอกจากจะใช้งานได้เหมาะสม มีประสิทธิภาพแล้ว จะทำให้ครัวของคุณสวยงามไปด้วย
การวางแปลนครัว ที่ถูกต้อง เพราะจะทำให้เหมาะสมกับการใช้งาน และได้รับประโยชน์ ในการใช้สอยได้อย่างเต็มที่ การวางแปลนครัว นั้นไม่มีกฎเกณฑ์อะไรตายตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และประโยชน์ใช้สอย การวางแปลนครัวจึงแบ่งออกได้เป็น 4 ลักษณะ ตามขนาดและรูปร่างห้อง คือ
1. การจัดแบบตัวยู (U-Shaped Kitchen) เหมาะสำหรับบ้านที่มีพื้นที่เหลือเฟือ ทั้งบ้านและครัวนี้ จึงมีความยืดหยุ่นมากที่สุด เพราะยังสามารถขยายพื้นที่ ของเคาน์เตอร์และชั้นเก็บของต่างๆได้
2. การจัดแบบตัวแอล (L-Shaped Kitchen) เป็นครัว ที่ใช้การได้ดีเช่นกัน สำหรับการทำงาน ในจุดทั้งสาม (เตา,อ่าง,ตู้เย็น) เหมาะกับห้อง ที่มีเนื้อที่ปานกลาง และเป็นบ้านโล่งๆ ที่ไม่มีการ กั้นแบ่งห้องทุกห้อง (Open Plan)
3. การจัดแบบแถวยาวตามทางเดิน (Corridor Kitchen) เป็นครัวที่อยู่ในบริเวณ ที่ขนาบทางเดิน แคบๆ โดยมีทางเดินอยู่แนวกลาง ทุกๆอย่างในครัวนี้ จะอยู่ใกล้มือมาก จึงอำนวย ความสะดวกได้มากที่สุด
4. การจัดแบบแถวยาวตลอด (One Wall Kitchen) เป็นครัวที่มีการจัดวางเป็นแบบแถวเดียวชิดผนังหมด
การจัดครัวนั้นจำเป็นจะต้องคำนึงถึงจุดนี้ด้วย เพราะจะช่วยให้รู้เรื่อง ถึงลักษณะการใช้ของครัว แต่ละแบบ และเพิ่มความมั่นใจ ในการเลือกแบบ แต่ละแบบ ให้เข้าได้กับสภาพพื้นที่ภายในบ้านที่มีอยู่ โดยให้คำนึงถึง ความสะดวกและความประหยัด ของพื้นที่ เพื่อให้เกิดความคล่องตัว ขณะประกอบอาหารได้มากที่สุด
การประกอบอาหารในทุกวัน เราต้องยืน เดินไปมา ระหว่างทำอาหารอยู่บ่อยๆ ซึ่งบางครั้งอาหาร อาจหล่นตกพื้น สร้างความเลอะเทอะ เปรอะเปื้อนพื้นได้ พื้นห้องควรลดระดับต่ำกว่าส่วนอื่นของบ้านประ มาณ 10 ซม. เพื่อเวลาทำความสะอาดพื้นหรือล้างพื้นห้อง น้ำจะได้ไม่ไหลเปรอะเปื้อนห้องอื่น และที่สำคัญอีกอย่างคือ ควรให้พื้นมีความลาดเอียงเล็กน้อยสำหรับการไหลของน้ำลง ท่อระบายน้ำที่เตรียมไว้การที่จะเลือกวัสดุ ประเภทใด มาปูพื้นนั้น ควรยึดหลัก ความทนทาน และทำความสะอาด ได้ง่ายเป็นหลัก เพราะห้องครัว เป็นห้อง ที่มีการ ใช้ความร้อนอยู่เป็นประจำ พื้นห้องจึงจำเป็น ต้องทนทาน ต่อความร้อนได้ดี และจะต้องไม่ลื่นหรือมีผิวมันจนเกินไปนัก พื้นครัวมีให้เลือก ทั้งที่เป็นพื้นกระเบื้อง พื้นหินขัด ซึ่งทนทาน ต่อการใช้งาน รักษาความสะอาดได้ง่าย แต่ค่อนข้างเย็น พื้นไม้ซึ่งให้ ความอบอุ่น สวยงาม แต่จะสกปรกง่าย หรือไวนิล ที่มีลวดลายสวยงาม การดูแลรักษาความสะอาด ทำได้ง่าย แต่ไวนิลนั้น จะชำรุดง่ายเช่นกัน
1. การจัดแบบตัวยู (U-Shaped Kitchen) เหมาะสำหรับบ้านที่มีพื้นที่เหลือเฟือ ทั้งบ้านและครัวนี้ จึงมีความยืดหยุ่นมากที่สุด เพราะยังสามารถขยายพื้นที่ ของเคาน์เตอร์และชั้นเก็บของต่างๆได้
2. การจัดแบบตัวแอล (L-Shaped Kitchen) เป็นครัว ที่ใช้การได้ดีเช่นกัน สำหรับการทำงาน ในจุดทั้งสาม (เตา,อ่าง,ตู้เย็น) เหมาะกับห้อง ที่มีเนื้อที่ปานกลาง และเป็นบ้านโล่งๆ ที่ไม่มีการ กั้นแบ่งห้องทุกห้อง (Open Plan)
3. การจัดแบบแถวยาวตามทางเดิน (Corridor Kitchen) เป็นครัวที่อยู่ในบริเวณ ที่ขนาบทางเดิน แคบๆ โดยมีทางเดินอยู่แนวกลาง ทุกๆอย่างในครัวนี้ จะอยู่ใกล้มือมาก จึงอำนวย ความสะดวกได้มากที่สุด
4. การจัดแบบแถวยาวตลอด (One Wall Kitchen) เป็นครัวที่มีการจัดวางเป็นแบบแถวเดียวชิดผนังหมด
การจัดครัวนั้นจำเป็นจะต้องคำนึงถึงจุดนี้ด้วย เพราะจะช่วยให้รู้เรื่อง ถึงลักษณะการใช้ของครัว แต่ละแบบ และเพิ่มความมั่นใจ ในการเลือกแบบ แต่ละแบบ ให้เข้าได้กับสภาพพื้นที่ภายในบ้านที่มีอยู่ โดยให้คำนึงถึง ความสะดวกและความประหยัด ของพื้นที่ เพื่อให้เกิดความคล่องตัว ขณะประกอบอาหารได้มากที่สุด
ที่ตั้ง
การกำหนดแหล่งที่ตั้งของครัวนั้นจะต้อง คำนึงถึง ปัญหาเรื่องการใช้งานเป็นหลักใหญ่ เพราะการใช้งาน เช่น การประกอบอาหารนั้น จะต้องเน้น เรื่องของความสะอาด ให้มาก และการรักษา ความสะอากที่ดี ย่อมต้องเกี่ยวข้อง กับตำแหน่งที่ตั้ง คือ ควรให้มีอากาศถ่ายเทได้ดี ไม่อับชื้น มีทางเดินที่สะดวก ในการเดินเข้าครัว และที่สำคัญตำแหน่งของห้องครัว ไม่ควรอยู่ใกล้กับส่วนที่เป็นมุมพักผ่อน หรือมุมที่ต้องการความสงบ เพราะ อาจมีเสียงและกลิ่น ที่เกิดจากการประกอบอาหาร รบกวนได้ เมื่อสามารถ กำหนดบริเวณที่ตั้งของครัว และการจัดวาง เครื่องครัวได้แล้ว สิ่งที่ควรคำนึงถึงต่อไป คือความสว่าง
แสงสว่างเป็นสิ่งหนึ่งที่จำเป็นสำหรับครัว ความสว่างตามธรรมชาติที่ได้จากหน้าต่าง นอกจากจะเป็นที่มาของแสงสว่างแล้ว ยังเป็นช่องระบายอากาศที่ดีอีกด้วย แต่ถ้าภายในครัวมีหน้าต่าง น้อยเกินไป ควรจุดติดไฟช่วย ในส่วนที่แสงไม่เพียงพอ เพราะในการประกอบอาหารนั้น จำเป็นต้องมีแสงสว่างมากพอ ที่จะมองเห็นได้ชัดเจน และทำงานได้สะดวก ดังนั้นจึงควรติดตั้งไฟ โดยใช้ไฟห้อยในพื้นที่ทำงานทุกจุด หรือจะติดไว้ตรงเพดานฝาผนัง เพื่อให้แสงไฟกระจายได้ทั่วห้อง การใช้เวลาในห้องครัวนานๆ นั้น ควรทำให้ครัวมีบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ดังนั้นแสงสว่าง ไม่ว่าจะเป็นแสงสว่าง จากหลอดไฟ หรือแสงตามธรรมชาติก็ตาม ควรพอเพียง การทาสีห้องโดยใช้สีอ่อนๆ จะช่วยให้ครัวสว่างและดูกว้างขึ้น ควรทาสีน้ำมัน หรือสีอะครีลิคกึ่ง เงาแทนการใช้สีน้ำพลาสติคสำหรับทาภายในทั่วไป เนื่อง จากจะคงทนกว่า และทำความสะอาดคราบเขม่า คราบควัน ที่เกิดจากการหุงต้มอาหารได้ดีกว่าสีน้ำมันทั่วไประบบถ่ายเทอากาศ
เมืองไทยเป็นประเทศที่มีอากาศร้อน การสร้างบ้าน จึงนิยมทำหน้าต่าง และช่องลมมาก ระบบหารถ่ายเท อากาศ จึงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรนัก ห้องครัวที่โปร่งโล่ง จึงเป็นลักษณะของครัวที่น่าใช้ และทางที่ดีห้องครัว ควรจะติดหน้าต่างไว้หลายๆบาน เพื่อเปิดรับแสง ธรรมชาติ เพราะแดดยามบ่าย สามารถจะช่วย ฆ่าเชื้อโรค ไล่ความเปียกชื้น ความอับทึบให้กับครัวได้ แต่สำหรับครัวของสังคมเมืองหลวง วิธีนี้จะไม่สามารถ ถ่ายเทอากาศได้ และถ้าระบบการถ่ายเทอากาศไม่ดีพอ ก็จะทำให้เกิดกลิ่น อันไม่น่าภิรมย์ขึ้น ดังนั้นจึงต้องใช้วิธี ติดพัดลม ระบายอากาศเหนือเตา เพื่อดูดควันอาหาร ออกไปข้างนอก ช่วยลดกลิ่นต่างๆ หรือจะติด เครื่องดูดกลิ่น และควันที่ด้านบนของเตาได้
พื้นห้อง
การประกอบอาหารในทุกวัน เราต้องยืน เดินไปมา ระหว่างทำอาหารอยู่บ่อยๆ ซึ่งบางครั้งอาหาร อาจหล่นตกพื้น สร้างความเลอะเทอะ เปรอะเปื้อนพื้นได้ พื้นห้องควรลดระดับต่ำกว่าส่วนอื่นของบ้านประ มาณ 10 ซม. เพื่อเวลาทำความสะอาดพื้นหรือล้างพื้นห้อง น้ำจะได้ไม่ไหลเปรอะเปื้อนห้องอื่น และที่สำคัญอีกอย่างคือ ควรให้พื้นมีความลาดเอียงเล็กน้อยสำหรับการไหลของน้ำลง ท่อระบายน้ำที่เตรียมไว้การที่จะเลือกวัสดุ ประเภทใด มาปูพื้นนั้น ควรยึดหลัก ความทนทาน และทำความสะอาด ได้ง่ายเป็นหลัก เพราะห้องครัว เป็นห้อง ที่มีการ ใช้ความร้อนอยู่เป็นประจำ พื้นห้องจึงจำเป็น ต้องทนทาน ต่อความร้อนได้ดี และจะต้องไม่ลื่นหรือมีผิวมันจนเกินไปนัก พื้นครัวมีให้เลือก ทั้งที่เป็นพื้นกระเบื้อง พื้นหินขัด ซึ่งทนทาน ต่อการใช้งาน รักษาความสะอาดได้ง่าย แต่ค่อนข้างเย็น พื้นไม้ซึ่งให้ ความอบอุ่น สวยงาม แต่จะสกปรกง่าย หรือไวนิล ที่มีลวดลายสวยงาม การดูแลรักษาความสะอาด ทำได้ง่าย แต่ไวนิลนั้น จะชำรุดง่ายเช่นกัน เพดาน
เพดานนับว่าเป็นปราการป้องกันแดดฝน ซึ่งเป็นชั้นรองจากหลังคาจึงไม่ควรละเลย หรือมองข้ามความสำคัญไป การเลือกใช้วัสดุแผ่นเรียบโดยทั่วๆไป อันได้แก่ กระเบื้อง ไม้อัด ยิปซั่มบอร์ด วัสดุเหล่านี้เป็นวัสดุที่น่าใช้งานมากที่สุด และสิ่งที่สำคัญคือ เมื่อใช้หรือติดตั้งแล้ว ควรทาสีโทนอ่อน เพื่อช่วยให้ห้องดูสว่างขึ้น ผนัง ผนังมีความสำคัญพอๆ กับพื้น คือ ต้องทำความสะอาดได้ง่าย วัสดุที่ใช้ ควรเป็นจำพวกกระเบื้องเคลือบที่มีผิวไม่มันหรือด้านจนเกินไป ผนังที่ก่อด้วยอิฐฉาบปูนธรรมดา ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะก่อให้เกิดความสกปรกได้ง่ายและทำความสะอาดได้ยากการวางผังครัว รูปแบบและตำแหน่งที่ตั้งของห้องครัว รวมถึง อุปกรณ์และ วัสดุตกแต่ง ที่ควรเลือกใช้ภายในห้องครัว ห้องครัวทั่วโดยไป จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ที่เห็นได้อย่างชัดเจนได้แก่ ครัวไทย และ ครัวลักษณะเตรียมอาหาร ( Pantry Kitchen )
ครัวไทย เป็นครัวที่ ใช้ประกอบอาหาร ที่มีเรื่องกลิ่นเข้ามามี ส่วนสำคัญ เช่น ประกอบอาหาร ประเภท ผัดพริกแกง ปลาทอด คั่วพริกแกง ฯลฯ พื้นที่ตั้งของครัวไทย ครัวไทยจึง ควรเป็นพื้นที่โล่ง ให้อากาศถ่ายเทได้อย่างสะดวก การจัดผังของห้องครัวไทย จึงไม่เน้น ว่าจะต้องเป็น ห้องที่มีความสวยงาม หรือมีกำแพง 4 ด้านและประตูปิดมิดชิด ครัวไทย อาจเป็นเพียงแค่มุม ๆ หนึ่งหลังบ้าน ที่มีเพียงแต่ อุปกรณ์หัวเตาแก๊ส โต๊ะไม้ สำหรับ เตรียมอาหาร และ อ่างซิงค์ สแตนเลส ที่มีขายสำเร็จรูป ก็สามารถประกอบ
อาหารอร่อยๆ ให้สมาชิก ภายในครอบครัวได้อย่างสบายๆแต่สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาก็คือ ตำแหน่ง ที่ตั้งของห้องครัวไทย ควรจะมีความต่อเนื่องกับ ห้องครัว Pantry เพื่อความสะดวก ในการพักและเสริฟอาหารได้อย่างคล่องตัว
ครัวลักษณะเตรียมอาหาร ( Pantry Kitchen) เป็นครัวที่ส่วนใหญ่เราไม่ใช้ใน การประกอบอาหารหนัก เกินไปที่อาจมีปัญหา เรื่องกลิ่นตามมา เพราะครัว Pantry ส่วนใหญ่อยู่ภายในบ้าน มีความต่อเนื่องกับ ห้องรับประทานอาหาร รูปแบบของผังครัว Pantry โดยทั่วไปสามารถจัดแบ่งได้เป็น 5 แบบ ได้แก่
1.ลักษณะการจัดวางแบบเส้นตรง (One Wall Kitchen) : ตู้ครัวอยู่ ชิดผนังเป็นเส้นตรง อุปกรณ์ หัวเตา อ่าง ล้างจาน และ ตู้เย็น เป็นครัวที่มีการจัดวางเป็นแบบแถวเดียวชิดผนังหมด เหมาะสำหรับครัว ในบ้านหลังเล็ก ๆ เริ่มจากส่วนบริเวณทำความสะอาด มีอ่างน้ำสำหรับล้าง ถัดมาเป็นส่วนเตรียมอาหาร และเตาเมื่ออาหารเสร็จเรียบร้อย ก็นำมาวางบน ที่วางพักอาหารเพื่อรอเสิร์ฟ การจัดแบบนี้ เริ่มจากขวามือไปยังด้านซ้ายของเคาน์เตอร์ในครัว ห้องครัวแบบตัวไอนี้มี ขนาดประมาณ 1.50 x 3.00 เมตร
2.ลักษณะการจัดวางแบบ เส้นขนาน 2 ด้าน : ตู้ครัวมีทั้งหมด 2 ตู้ อยู่ตรงข้ามกับแบบเส้นขนาน การประกอบอาหาร จะสะดวกกว่า แบบเส้นตรง เพราะตำแหน่งของหัวเตา อ่างล้าง จานละตู้เย็นอาจอยู่ตรงข้ามกันตามความเหมาะสม
3.ลักษณะการจัดวางแบบ รูปตัว L (L-Shaped Kitchen) เป็นครัว ที่ใช้การได้ดีเช่นกัน สำหรับการทำงาน ในจุดทั้งสาม (เตา,อ่าง,ตู้เย็น) เหมาะกับห้อง ที่มีเนื้อที่ปานกลาง และเป็นบ้านโล่งๆ ที่ไม่มีการ กั้นแบ่งห้องทุกห้อง (Open Plan) ขนาดห้องครัวประมาณ 2.50 x 3.00 เมตร ลักษณะการจัดวางอุปกรณ์สามารถทำได้ง่ายกว่า แบบแถวยาวตามทางเดิน เนื่องจากมีพื้นที่มากขึ้น และระยะเคลื่อนที่ขณะ ใช้งานน้อยลง ที่สำคัญคือ ควรจัดให้ ส่วนเตรียมอาหาร และเตาอยู่ติดผนังด้าน ที่สามารถระบายกลิ่นควันออกภายนอกบ้านได้ง่าย
4.ลักษณะการจัดวางแบบ รูปตัว U : (U-Shaped Kitchen) เหมาะสำหรับบ้าน ที่มีพื้นที่เหลือเฟือ ทั้งบ้านและครัวนี้ จึงมีความยืดหยุ่นมากที่สุด เพราะยังสามารถ ขยายพื้นที่ ของเคาน์เตอร์และชั้นเก็บของต่างๆได้แบบนี้มีขนาดประมาณ 3.00 x 3.00 เมตร ลักษณะห้องเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส หากห้องมีขนาดใหญ่มากอาจเพิ่ม โต๊ะกลางสำหรับ พักอาหาร หรืออุปกรณ์อื่นได้อีก เพดานห้องครัว ไม่ควรจะต่ำเกินไป เพราะจะทำให้การระบายอากาศ ไม่สะดวกเท่าที่ควร และอาจทำให้อึดอัดได้ สำหรับห้องครัวในบ้านธรรมดาทั่วไป ควรมีเพดานสูงจากพื้น 2.60 – 2.75 เมตร
5.ลักษณะการจัดวางแบบเกาะกลาง : การจัดวางแบบนี้ ก็กำลังเป็นที่นิยมแพร่หลาย ที่เน้นการโชว์อุปกรณ์ครัว
ต่างๆ ไว้ตรงเกาะกลาง แทนที่จะอยู่บนตู้ชิดผนัง
ไม่ว่ารูปแบบลักษณะการจัดวางจะเป็นแบบใด องค์ประกอบหลักของเครื่องใช้ในครัว Pantry 3 อย่าง (Appliances) ที่ขาดไม่ได้คือ หัวเตาแก๊สไฟฟ้า อ่างล้าง จานตู้เย็น ทั้งนี้ตำแหน่งที่ตั้งของเครื่อง ใช้ทั้ง 3 ส่วนนี้ จะ ต้องอยู่ในระยะ ที่เหมาะสม กับการใช้งานไม่ อยู่ในระยะ ที่ใกล้หรือไกลเกินเอื้อม รูปแบบของตู้ครัว Pantry ประกอบด้วยตู้ Cabinet ตัวล่างที่ใช้สำหรับ ประกอบอาหาร และ เป็นที่เก็บของ ส่วน ตู้ลอยซึ่งเป็น ตู้แขวนติดผนัง ใช้สำหรับเก็บของ ที่ไม่มีน้ำหนักมากเกินไป วัสดุที่ ใช้ในการทำตู้โดยทั่วไปสามารถแบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท คือ ตู้ที่มีโครงสร้างเป็นไม้สังเคราะห์ ซึ่งไม่มีโครง สร้าง ภายในได้แก่ ไม้ MDF และParticle Board ตู้ครัว ประเภท นี้เราจะเห็นได้ทั่วไปตาม ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ สำเร็จรูปทั่วไป ข้อดีของตู้ครัว ประเภทนี้คือเป็นครัว ประเภท ถอดประกอบ ( Knock Down ) สะดวกรวดเร็ว และง่ายต่อการติดตั้ง แต่จุดด้อยของตู้ครัวแบบนี้คือไม่ สามารถ ทนความชื้น ซึ่งเกิดจากน้ำได้ เพราะไม้ Particle Board และ ไม้ MDF จะเกิดการพองตัว ซึ่งไม่สามารถ ทำ การซ่อมได้ วัสดุประเภทสอง ที่ใช้ในการทำตู้ครัว ได้แก่ ตู้ครัว ที่มีโครงสร้าง เป็นไม้จริง และปิดผิวด้วยไม้ อัดหรือไม้จริง และจะมี ความคง ทนกว่า แบบ แรก เนื่อง จากมีโครงสร้างเป็นไม้จริง และไม่มีข้อกำหนดในการ สร้าง เป็น ครัวที่จัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะ ไม่ใช้ชุดครัวสำเร็จรูป ตามแบบ ประเภทแรก วัสดุที่ใช้ ในการทำเคาน์เตอร์ top ที่ใช้ในครัว Pantry มีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ top ที่ใช้หินแกรนิต หรือหินอ่อน top ที่ปูด้วยกระ เบื้องเซรามิก และ top ที่ใช้วัสดุสังเคราะห์ ขึ้นรูปประเภท Post Form ที่ปิดผิวด้วย Laminate และมีโครงสร้าง ภายในเป็นไม้ MDF
การจัดวางแผนผังห้องครัว
ข้อสำคัญในการจัดวางแผนผัง ห้องครัว นั้น ก่อนอื่น จะต้องเลือกอุปกรณ์ เครื่องใช้ ที่จำเป็นเสียก่อน เช่น เตา อ่างล้างมือ ตู้เย็น กระทะ จานชาม ฯลฯ เมื่อเลือกอุปกรณ์ ได้ตามความประสงค์แล้ว จากนั้น ให้วัดขนาดของห้อง แล้ววางผังห้องแบบย่อส่วน ต่อจากนั้นให้วัดขนาด ของอุปกรณ์ เครื่องใช้ ที่เลือกไว้ โดยอาจคำนึงถึง หลักต่อไปนี้คือ
1. การวางเตา อ่างล้าง และตู้เย็น ควรวางให้อยู่ใกล้กัน เพื่อความคล่องตัว ขณะปรุงอาหารยิ่งขึ้น
2. เคาน์เตอร์หรือโต๊ะวางเตา ควรเลือกให้มีความสูง ที่เหมาะสมคือ ประมาณ 900 ม.ม. หรือ 3 ฟุต แต่ถ้าจะวาง อ่างล้างควรเพิ่มให้สูงกว่านั้นอีก 75 ม.ม. หรือ 3 นิ้วควรให้มีที่ว่างข้างเตา เพื่อเตรียมไว้สำหรับวาง เครื่องประกอบอาหาร และจานชามได้
3. การวางตู้เก็บของหรือภาชนะต่างๆ ควรกำหนดให้อยู่ใกล้ อุปกรณ์ที่ใช้ ร่วมกัน เช่น ตู้เก็บกระทะ หม้อ หรือ ชั้นวางเครื่องปรุงต่างๆ ควรอยู่ใกล้เตา ตู้เก็บจานควรอยู่ใกล้อ่างล้าง เพื่อสะดวกในการเก็บเข้าที่ หรือหยิบใช้ได้สะดวก
4. การวางปลั๊กไฟฟ้า ควรมีที่เสียบปลั๊กสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าไว้อย่างน้อย 2 แห่ง
ครัว เป็นที่สำหรับ ประกอบอาหาร ดังนั้นการเลือกสรรอุปกรณ์ในครัว จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ไม่ควรมองข้าม และจะขาดเสียไม่ได้ โต๊ะประกอบ อาหาร เป็นส่วนสำคัญ และใช้งานมากที่สุด ในการประกอบอาหาร จึงควรให้พื้นที่บริเวณนี้กว้างพอ สำหรับการจัดเตรียมอาหาร และวางอุปกรณ์ ส่วนด้านบนของโต๊ะ อาจปูด้วยกระเบื้องเซรามิค สแตนเลส หินอ่อน ไม้หรือแผ่นเหล็กขนาดบางๆ ก็ได้ ที่เก็บของ อาจเป็นตู้เก็บหรือขวด สำหรับใส่ของแห้ง เพื่อป้องกันความชื้นในอากาศ สำหรับครัวที่แคบๆ อาจจะทำเป็นตู้ติดบานพับ เป็นการเพิ่มเนื้อที่ ใช้งานได้อีกด้วย
ข้อสำคัญในการจัดวางแผนผัง ห้องครัว นั้น ก่อนอื่น จะต้องเลือกอุปกรณ์ เครื่องใช้ ที่จำเป็นเสียก่อน เช่น เตา อ่างล้างมือ ตู้เย็น กระทะ จานชาม ฯลฯ เมื่อเลือกอุปกรณ์ ได้ตามความประสงค์แล้ว จากนั้น ให้วัดขนาดของห้อง แล้ววางผังห้องแบบย่อส่วน ต่อจากนั้นให้วัดขนาด ของอุปกรณ์ เครื่องใช้ ที่เลือกไว้ โดยอาจคำนึงถึง หลักต่อไปนี้คือ
1. การวางเตา อ่างล้าง และตู้เย็น ควรวางให้อยู่ใกล้กัน เพื่อความคล่องตัว ขณะปรุงอาหารยิ่งขึ้น
2. เคาน์เตอร์หรือโต๊ะวางเตา ควรเลือกให้มีความสูง ที่เหมาะสมคือ ประมาณ 900 ม.ม. หรือ 3 ฟุต แต่ถ้าจะวาง อ่างล้างควรเพิ่มให้สูงกว่านั้นอีก 75 ม.ม. หรือ 3 นิ้วควรให้มีที่ว่างข้างเตา เพื่อเตรียมไว้สำหรับวาง เครื่องประกอบอาหาร และจานชามได้
3. การวางตู้เก็บของหรือภาชนะต่างๆ ควรกำหนดให้อยู่ใกล้ อุปกรณ์ที่ใช้ ร่วมกัน เช่น ตู้เก็บกระทะ หม้อ หรือ ชั้นวางเครื่องปรุงต่างๆ ควรอยู่ใกล้เตา ตู้เก็บจานควรอยู่ใกล้อ่างล้าง เพื่อสะดวกในการเก็บเข้าที่ หรือหยิบใช้ได้สะดวก
4. การวางปลั๊กไฟฟ้า ควรมีที่เสียบปลั๊กสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าไว้อย่างน้อย 2 แห่ง
ครัว เป็นที่สำหรับ ประกอบอาหาร ดังนั้นการเลือกสรรอุปกรณ์ในครัว จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ไม่ควรมองข้าม และจะขาดเสียไม่ได้ โต๊ะประกอบ อาหาร เป็นส่วนสำคัญ และใช้งานมากที่สุด ในการประกอบอาหาร จึงควรให้พื้นที่บริเวณนี้กว้างพอ สำหรับการจัดเตรียมอาหาร และวางอุปกรณ์ ส่วนด้านบนของโต๊ะ อาจปูด้วยกระเบื้องเซรามิค สแตนเลส หินอ่อน ไม้หรือแผ่นเหล็กขนาดบางๆ ก็ได้ ที่เก็บของ อาจเป็นตู้เก็บหรือขวด สำหรับใส่ของแห้ง เพื่อป้องกันความชื้นในอากาศ สำหรับครัวที่แคบๆ อาจจะทำเป็นตู้ติดบานพับ เป็นการเพิ่มเนื้อที่ ใช้งานได้อีกด้วย
ห้องรับประทานอาหาร
การรับประทานอาหารที่บ้านนั้น มีความหมายไป ตั้งแต่ การวิ่งเข้า ครัวเพื่อหาอะไร ก็ได้สักอย่างมาแก้หิว การนั่งดูโทรทัศน์ไปพลาง ๆ ขณะที่เจ้าตู้อบ ไมโครเวฟ กำลังอุ่น แซนด์วิชสักชิ้น ไปจนถึง การจัดเลี้ยง อย่างเป็นการ เป็นงานสำหรับแขก คนสำคัญ
ข้อดีของการจัดเลี้ยงอาหารที่บ้าน มีตั้งแต่ การสังสรรค์ เพื่อนเก่า ๆ กระชับสัมพันธ์ กับเพื่อนใหม่ หรือแม้แต่ การสร้างความประทับใจ ให้กับเจ้านาย นอกจากนี้ บางคนยังถือเป็นโอกาส ที่จะแสดงฝีมือ การปรุงอาหาร ไปด้วยก็ได้ ดังนั้น ห้องรับประทานอาหารเอง ก็จะมี ความสำคัญในการสร้าง บรรยากาศเมื่อมี การจัดเลี้ยงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การกำหนดรูปแบบ ของงานที่เราต้องการให้เป็นไป การตกแต่งที่ ช่วยเสริมได้ แม้กระทั่งรสชาติของอาหาร ความเหมาะสม ในการใช้ ห้องรับประทานอาหาร เป็นห้องสนทนาต่อไป ภายหลัง จากการรับประทานอาหารแล้ว
ห้องรับประทานอาหารสามารถยืดหยุ่นได้ดีไม่ว่าจะเป็นขนาดของห้องและรูปร่าง เช่น อาจจะใช้ มุมใดมุมหนึ่ง ของห้องครัว ไปจนถึงการจัดห้องอาหารโดยเฉพาะในบ้านสมัยใหม่ส่วนใหญ่ แล้วห้อง รับประทานอาหาร มักจะเป็นที่ที่กำหนดขึ้นมา อย่างเหมาะสมเพื่อใช้ให้ เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ในการรับประทานอาหาร
ในบ้านที่มีเนื้อที่จำกัด การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ การตกแต่ง การเลือกชนิดของอุปกรณ์ ในการ รับประทานอาหาร อาจจะทำให้ สามารถดัดแปลง ห้องรับประทานอาหาร ให้ใช้ประโยชน์อย่างอื่น ได้อีกหลายลักษณะ เช่น ใช้เป็นห้องทำการบ้านของเด็ก ๆ เป็นห้องสมุดเล็ก ๆ หรือบางครั้ง ก็อาจจะเป็น ห้องนอน สำรอง สำหรับแขกผู้มาเยือน
จุดที่มักจะต้องให้ความสำคัญก็คือ ห้องรับประทานอาหาร ไม่ควรจะ อยู่ไกลจาก ห้องครัว เพราะอาหาร บางชนิด หากเสียเวลาไป กับการลำเลียง มาสู่ห้องรับประทานอาหาร นานเกินไป ก็อาจจะเสียรส ชาด หรือบางครั้ง ในการจัด งานปาร์ตี้ ในหมู่เพื่อนฝูง คนที่เข้าครัวปรุงอาหาร ก็จะขาด บรรยากาศ ที่สนุกสนาน ของงานไป แต่ข้อที่ควร ระวังสำหรับครัว ที่อยู่ติดกับห้อง รับประทานอาหาร ก็คือเรื่องของ กลิ่นอาหาร ขณะที่กำลังปรุง จะเข้ามารบกวนได้ ดังนั้น การระบายอากาศ หรือการใช้ เครื่องดูดควัน จึงกลายเป็น เรื่องจำเป็น ที่ขาดเสียไม่ได้ บรรยากาศ และ อิทธิพลต่อจิตใจ ของ ห้องรับประทาน อาหาร จะขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ เฟอร์นิเจอร์ การใช้แสง การเลือกใช้สี ทั้งหมดนี้ จะขึ้นกับรสนิยม และความต้องการ ของเจ้าบ้าน การจัดวางตำแหน่ง ห้องรับประทาน อาหารภายในบ้าน จะต้องคำนึงถึง ประโยชน์ใช้สอย ร่วมกับห้องอื่น ๆ ด้วย
ข้อสำคัญที่สุด จึงอยู่ที่ตัวเจ้าของบ้านเอง เพราะจะต้อง มีส่วนร่วม ในการรับประทานอาหาร อยู่เสมอ บางคนชอบรูปแบบ ที่เรียบร้อย ก็จัดห้องแบบสบาย ๆ เป็นกันเอง บางคนชอบปรุงแต่งรสอาหารเอง หรือบางคน ชอบมีเครื่องดื่ม ระหว่างอาหารไปด้วย ก็อาจจะจัด เคาน์เตอร์บาร์ สำหรับเสิร์ฟ ไวน์ หรือบรั่นดี ควบคู่ไปด้วย การที่ตกแต่ง ห้องรับประทานอาหาร ก่อนอื่นควรที่จะมอง แบบกว้าง ๆ ก่อนว่า ห้องควรจะเข้ากันได้ กับการตกแต่ง โดยทั่วไปของบ้าน ทดลองดูได้ โดยยก เฟอร์นิเจอร์ สักชิ้นจากห้องครัว มาไว้ใน ห้องรับประทานอาหาร จะต้องไม่รู้สึก ว่ามีความขัดแย้งกัน จนเห็นได้ชัด
จากนั้นก็มาดูกันที่ส่วนประกอบอื่น ได้แก่ โต๊ะ เก้าอี้ ตู้เก็บของที่ผนัง และอุปกรณ์ตกแต่งอื่น ๆ ควรจะเข้าชุดกันได้ ไม่ว่าจะเป็นสี แบบและ ความอ่อนแก่ของ โทนสี วัตถุประสงค์ที่ รองลงมาก็คือ เราต้องการให้ ห้องรับประทานอาหาร นี้ แสดงความคิดของเราในแง่ใดบ้าง เช่น การจัดบรรยากาศ แบบธรรมชาติ การจัดแสดงเฟอร์นิเจอร์แบบโบราณ ฯลฯ รวมไปถึงการใช้ห้องนี้ เพื่อประโยชน์ อย่างอื่นด้วย ดังกล่าวแล้ว ข้างต้น
ลักษณะการใช้งานห้องรับประทานอาหาร
ไม่ว่าห้องอาหารจะตกแต่งไว้หรูหราเพียงใดก็ตาม สิ่งที่จะต้องคำนึง เป็นอย่างมากก็คือ ประโยชน์ใช้สอย สำหรับตัวเจ้าบ้านเอง และผู้มาร่วมรับประทานอาหาร การที่จะตัดสินใจ เกี่ยวกับ เรื่องนี้ ให้ได้ดี คงจะต้องเข้าใจ เสียก่อน ว่าห้องนี้จะใช้งานมากที่สุด ในช่วงใด เลี้ยงอาหารกลางวัน ในวันหยุด จัดเลี้ยงเฉพาะ ตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวัน ต้องใช้ประโยชน์อย่างอื่น ขนาดของโต๊ะ ที่จะต้องใช้การ จัดลำเลียงอาหารจากครัว ที่เก็บอุปกรณ์ ที่จะต้องใช้ ในการรับประทาน อาหาร การเลือกใช้แสง ผ้าม่าน ฯลฯ ทั้งหมดนี้จะต้อง กำหนดขึ้นมา เสียก่อน ที่จะออกไปซื้อ หรือสั่งทำเฟอร์นิเจอร์
ถ้าภายในบ้าน มีที่พอจะจัดเป็นห้องอาหารได้ โดยเฉพาะ ก็นับเป็นเรื่องที่ดีมาก ห้องรับประทานอาหาร ควรจะอยู่ติดกับ ห้องครัว กรณีเช่นนี้การจัดหาโต๊ะมา สำหรับวางอาหาร ก่อนเสิร์ฟ และการใช้ตู้เก็บของ ใน ห้องรับประทานอาหาร ก็กลายเป็น เรื่องที่ไม่จำเป็น แต่ถ้า ห้องรับประทานอาหาร อยู่ห่างจากห้องครัว ก็อาจจะต้องใช้การลำเลียงอาหารด้วย รถเข็น ซึ่งจะให้ ประโยชน์ ทั้งการนำอาหาร เข้ามาในห้อง และการขนเอา ภาชนะใช้แล้ว ออกไปจากห้องด้วย รถเข็นที่ออกแบบมา โดยมี เครื่องอุ่นอาหารไฟฟ้าในตัว ก็ใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าไม่สามารถจัดหามาได้ ก็อาจจะต้องใช้ การอุ่นอาหาร จากตู้อุ่น ซึ่งจะต้องวาง ในห้อง รับประทานอาหารด้วย
สำหรับครัวที่อยู่ติดกับ ห้องรับประทานอาหาร วิธีที่สะดวกอีกวิธีหนึ่ง ก็คือการทำช่อง สำหรับจัดส่ง อาหารที่ผนัง ระหว่างครัว กับห้องรับประทานอาหาร เพราะสามารถตัดความวุ่นวาย จากการส่งอาหาร ทางประตู ได้เป็นอย่างดี ช่องส่งอาหารนี้ จะต้องมี ที่วางอาหาร จานใหญ่ ๆ ได้อย่างเพียงพอ ทั้งสองข้าง และเมื่อส่งอาหารเข้ามาในห้อง หมดแล้ว ต้องมีบาน หน้าต่างเล็ก ๆ ปิดเพื่อความสวยงาม และความเป็น สัดส่วน การใช้งาน ห้องรับประทานอาหาร
Read more: http://www.novabizz.com/CDC/DiningRoom.htm#ixzz1l0CIxhHz
ข้อดีของการจัดเลี้ยงอาหารที่บ้าน มีตั้งแต่ การสังสรรค์ เพื่อนเก่า ๆ กระชับสัมพันธ์ กับเพื่อนใหม่ หรือแม้แต่ การสร้างความประทับใจ ให้กับเจ้านาย นอกจากนี้ บางคนยังถือเป็นโอกาส ที่จะแสดงฝีมือ การปรุงอาหาร ไปด้วยก็ได้ ดังนั้น ห้องรับประทานอาหารเอง ก็จะมี ความสำคัญในการสร้าง บรรยากาศเมื่อมี การจัดเลี้ยงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การกำหนดรูปแบบ ของงานที่เราต้องการให้เป็นไป การตกแต่งที่ ช่วยเสริมได้ แม้กระทั่งรสชาติของอาหาร ความเหมาะสม ในการใช้ ห้องรับประทานอาหาร เป็นห้องสนทนาต่อไป ภายหลัง จากการรับประทานอาหารแล้ว
ห้องรับประทานอาหารสามารถยืดหยุ่นได้ดีไม่ว่าจะเป็นขนาดของห้องและรูปร่าง เช่น อาจจะใช้ มุมใดมุมหนึ่ง ของห้องครัว ไปจนถึงการจัดห้องอาหารโดยเฉพาะในบ้านสมัยใหม่ส่วนใหญ่ แล้วห้อง รับประทานอาหาร มักจะเป็นที่ที่กำหนดขึ้นมา อย่างเหมาะสมเพื่อใช้ให้ เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ในการรับประทานอาหาร
ในบ้านที่มีเนื้อที่จำกัด การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ การตกแต่ง การเลือกชนิดของอุปกรณ์ ในการ รับประทานอาหาร อาจจะทำให้ สามารถดัดแปลง ห้องรับประทานอาหาร ให้ใช้ประโยชน์อย่างอื่น ได้อีกหลายลักษณะ เช่น ใช้เป็นห้องทำการบ้านของเด็ก ๆ เป็นห้องสมุดเล็ก ๆ หรือบางครั้ง ก็อาจจะเป็น ห้องนอน สำรอง สำหรับแขกผู้มาเยือน
จุดที่มักจะต้องให้ความสำคัญก็คือ ห้องรับประทานอาหาร ไม่ควรจะ อยู่ไกลจาก ห้องครัว เพราะอาหาร บางชนิด หากเสียเวลาไป กับการลำเลียง มาสู่ห้องรับประทานอาหาร นานเกินไป ก็อาจจะเสียรส ชาด หรือบางครั้ง ในการจัด งานปาร์ตี้ ในหมู่เพื่อนฝูง คนที่เข้าครัวปรุงอาหาร ก็จะขาด บรรยากาศ ที่สนุกสนาน ของงานไป แต่ข้อที่ควร ระวังสำหรับครัว ที่อยู่ติดกับห้อง รับประทานอาหาร ก็คือเรื่องของ กลิ่นอาหาร ขณะที่กำลังปรุง จะเข้ามารบกวนได้ ดังนั้น การระบายอากาศ หรือการใช้ เครื่องดูดควัน จึงกลายเป็น เรื่องจำเป็น ที่ขาดเสียไม่ได้ บรรยากาศ และ อิทธิพลต่อจิตใจ ของ ห้องรับประทาน อาหาร จะขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ เฟอร์นิเจอร์ การใช้แสง การเลือกใช้สี ทั้งหมดนี้ จะขึ้นกับรสนิยม และความต้องการ ของเจ้าบ้าน การจัดวางตำแหน่ง ห้องรับประทาน อาหารภายในบ้าน จะต้องคำนึงถึง ประโยชน์ใช้สอย ร่วมกับห้องอื่น ๆ ด้วย
ห้องรับประทานอาหารในแบบฉบับของตัวเอง
มีคนแนะนำว่า การจะจัด ห้องรับประทานอาหาร สักห้อง ในบ้านให้ดีอย่างที่เราต้องการ ให้นึกไปถึง ร้านอาหาร ร้านโปรดของเรา โดยเฉพาะ ร้านอาหาร หรือภัตตาคาร ที่ประสพ ความสำเร็จ แน่นอนรสชาดอาหาร คือจุด สำคัญที่สุด แต่สิ่งแวดล้อม ที่ช่วยสร้างบรรยากาศ ซึ่งร้านอาหาร สามารถจัดได้หลายแบบเช่น มุมหนึ่ง อาจจะเป็น บรรยากาศ แบบพื้นบ้าน ส่วนอีกด้าน ก็เป็นแบบทันสมัย ซึ่งตกแต่งด้วย วัสดุจำพวกโลหะ ชุบโครเมียม แวววาวและฟอร์ไมกา ฯลฯ ผู้มาใช้บริการ ของร้าน จึงสามารถเลือกบรรยากาศ ให้เหมาะ กับวัตถุประสงค์ของตนเอง ภายในบ้านก็เช่นกัน ห้องรับประทานอาหาร อาจจะใช้ในหลายโอกาส ที่ต่างบรรยากาศกัน เช่นห้องจะสามารถตกแต่งให้ บรรยากาศ ดูสนใจสำหรับ การจัดปาร์ตี้ และห้องเดียวกันนี้ จะต้องไม่ดูเงียบเหงาจนเกินไปนัก หากจะต้องอยู่บ้าน รับประทานอาหาร ค่ำคนเดียว ข้อสำคัญที่สุด จึงอยู่ที่ตัวเจ้าของบ้านเอง เพราะจะต้อง มีส่วนร่วม ในการรับประทานอาหาร อยู่เสมอ บางคนชอบรูปแบบ ที่เรียบร้อย ก็จัดห้องแบบสบาย ๆ เป็นกันเอง บางคนชอบปรุงแต่งรสอาหารเอง หรือบางคน ชอบมีเครื่องดื่ม ระหว่างอาหารไปด้วย ก็อาจจะจัด เคาน์เตอร์บาร์ สำหรับเสิร์ฟ ไวน์ หรือบรั่นดี ควบคู่ไปด้วย การที่ตกแต่ง ห้องรับประทานอาหาร ก่อนอื่นควรที่จะมอง แบบกว้าง ๆ ก่อนว่า ห้องควรจะเข้ากันได้ กับการตกแต่ง โดยทั่วไปของบ้าน ทดลองดูได้ โดยยก เฟอร์นิเจอร์ สักชิ้นจากห้องครัว มาไว้ใน ห้องรับประทานอาหาร จะต้องไม่รู้สึก ว่ามีความขัดแย้งกัน จนเห็นได้ชัด
จากนั้นก็มาดูกันที่ส่วนประกอบอื่น ได้แก่ โต๊ะ เก้าอี้ ตู้เก็บของที่ผนัง และอุปกรณ์ตกแต่งอื่น ๆ ควรจะเข้าชุดกันได้ ไม่ว่าจะเป็นสี แบบและ ความอ่อนแก่ของ โทนสี วัตถุประสงค์ที่ รองลงมาก็คือ เราต้องการให้ ห้องรับประทานอาหาร นี้ แสดงความคิดของเราในแง่ใดบ้าง เช่น การจัดบรรยากาศ แบบธรรมชาติ การจัดแสดงเฟอร์นิเจอร์แบบโบราณ ฯลฯ รวมไปถึงการใช้ห้องนี้ เพื่อประโยชน์ อย่างอื่นด้วย ดังกล่าวแล้ว ข้างต้น
ลักษณะการใช้งานห้องรับประทานอาหาร
ไม่ว่าห้องอาหารจะตกแต่งไว้หรูหราเพียงใดก็ตาม สิ่งที่จะต้องคำนึง เป็นอย่างมากก็คือ ประโยชน์ใช้สอย สำหรับตัวเจ้าบ้านเอง และผู้มาร่วมรับประทานอาหาร การที่จะตัดสินใจ เกี่ยวกับ เรื่องนี้ ให้ได้ดี คงจะต้องเข้าใจ เสียก่อน ว่าห้องนี้จะใช้งานมากที่สุด ในช่วงใด เลี้ยงอาหารกลางวัน ในวันหยุด จัดเลี้ยงเฉพาะ ตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวัน ต้องใช้ประโยชน์อย่างอื่น ขนาดของโต๊ะ ที่จะต้องใช้การ จัดลำเลียงอาหารจากครัว ที่เก็บอุปกรณ์ ที่จะต้องใช้ ในการรับประทาน อาหาร การเลือกใช้แสง ผ้าม่าน ฯลฯ ทั้งหมดนี้จะต้อง กำหนดขึ้นมา เสียก่อน ที่จะออกไปซื้อ หรือสั่งทำเฟอร์นิเจอร์
ถ้าภายในบ้าน มีที่พอจะจัดเป็นห้องอาหารได้ โดยเฉพาะ ก็นับเป็นเรื่องที่ดีมาก ห้องรับประทานอาหาร ควรจะอยู่ติดกับ ห้องครัว กรณีเช่นนี้การจัดหาโต๊ะมา สำหรับวางอาหาร ก่อนเสิร์ฟ และการใช้ตู้เก็บของ ใน ห้องรับประทานอาหาร ก็กลายเป็น เรื่องที่ไม่จำเป็น แต่ถ้า ห้องรับประทานอาหาร อยู่ห่างจากห้องครัว ก็อาจจะต้องใช้การลำเลียงอาหารด้วย รถเข็น ซึ่งจะให้ ประโยชน์ ทั้งการนำอาหาร เข้ามาในห้อง และการขนเอา ภาชนะใช้แล้ว ออกไปจากห้องด้วย รถเข็นที่ออกแบบมา โดยมี เครื่องอุ่นอาหารไฟฟ้าในตัว ก็ใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าไม่สามารถจัดหามาได้ ก็อาจจะต้องใช้ การอุ่นอาหาร จากตู้อุ่น ซึ่งจะต้องวาง ในห้อง รับประทานอาหารด้วย
สำหรับครัวที่อยู่ติดกับ ห้องรับประทานอาหาร วิธีที่สะดวกอีกวิธีหนึ่ง ก็คือการทำช่อง สำหรับจัดส่ง อาหารที่ผนัง ระหว่างครัว กับห้องรับประทานอาหาร เพราะสามารถตัดความวุ่นวาย จากการส่งอาหาร ทางประตู ได้เป็นอย่างดี ช่องส่งอาหารนี้ จะต้องมี ที่วางอาหาร จานใหญ่ ๆ ได้อย่างเพียงพอ ทั้งสองข้าง และเมื่อส่งอาหารเข้ามาในห้อง หมดแล้ว ต้องมีบาน หน้าต่างเล็ก ๆ ปิดเพื่อความสวยงาม และความเป็น สัดส่วน การใช้งาน ห้องรับประทานอาหาร
Read more: http://www.novabizz.com/CDC/DiningRoom.htm#ixzz1l0CIxhHz
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น